ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ 083-792-5426

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured post 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured post 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured post 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured post 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามตำแหง บางกะปิ 083-792-5426

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ลักไก่ปลูกต้นกระท่อม ข้างทางกลางเมืองกรุง





เมื่อเวลา 13.00น. วันที่ 28 ก.ค. พ.ต.อ.สาโรจน์ ซุ่นทรัพย์ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.อุทัย กวินเดชาธร ผกก.กก.สส.บก.น.4 และพ.ต.ท.ชัยรัตน์ หิรัญบูรณะ สว.กก.สส.บก.น.4 นำ สนธิกำลังตำรวจป้องกันปราบปราม สน.บางชัน และเจ้าหน้าที่กทม. นำกำลังเข้าตรวจค้น ภายในชุมชนเกาะดอน ซอยรามคำแหง 110 แขวงและเขตสะพานสูง กทม. พบต้นกระท่อมขนาดใหญ่จำนวนหลาย 10 ต้น และพบร่องรอยการเก็บใบ และเพาะชำกิ่งเพื่อขยายพันธุ์ จึงเข้าตัดโค่นทำลาย และรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ด้าน พ.ต.อ.สาโรจน์ กล่าวว่า จากการตรวจค้นพบว่ามีต้นกระท่อม กว่า 10 ต้น จึงนำเลื่อยยนต์ตัดทำลายและสืบหาตัวเจ้าของมาสอบสวนดำเนินคดีต่อไป.

สตช.เลือกรองผบช.คุณสมบัติเหมาะสม22ตำแหน่งขึ้นผบช.





วันที่ 28 ก.ค. เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.สุวัฒน์  จันทร์อิทธิพล   รองผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จตช. ร่วมประชุมการดำเนินการสรรหาข้าราชการตำรวจระดับรองผบช.ในสังกัด สง.ผบ.ตร.และในสังกัดตร.ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเหมาะสมที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนดำรงตำแหน่งระดับผบช. โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวสั้นๆ ภายหลังจากการประชุมว่า วันนี้เป็นการพิจารณาตำแหน่งผู้ที่เหมาะสมจำนวน 22 ตำแหน่ง  รวม รองผบช. ได้เลื่อนขึ้นตามหลักอาวุโสร้อยละ 33 ของตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 8 คน
วันที่ 28 ก.ค. เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ พล.ต.อ.สุวัฒน์  จันทร์อิทธิพล รองผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จตช. ร่วมประชุมเพื่อสรรหาข้าราชการตำรวจระดับรองผบช.ในสังกัด สำนักงานผบ.ตร.และในสังกัดตร.ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเหมาะสมได้รับการพิจารณาเลื่อนดำรงตำแหน่งระดับผบช. โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า วันนี้เป็นการพิจารณาตำแหน่งผู้ที่เมีความหมาะสม 22 ตำแหน่ง รวม รองผบช. ได้เลื่อนขึ้นตามหลักอาวุโสร้อยละ 33 ของตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 8 คน
 
ขณะที่มีรายงานระบุว่า ประชุมการดำเนินการสรรหาข้าราชการตำรวจระดับรองผบช.ในสังกัด สำนักงานผบ.ตร.และในสังกัดตร.ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและเหมาะสมได้รับการพิจารณาเลื่อนดำรงตำแหน่งระดับผบช.นั้น ที่ประชุมเห็นชอบตามนโยบายตามที่ผบ.ตร.เสนอบัญชีรายชื่อผู้เหมาะสมและได้นำรายชื่อจากทุกหน่วย เพื่อนำบัญชีรายชื่อมาพิจารณา โดยมีไม่ต่ำกว่า 2 เท่าของจำนวนตำแหน่ง
ทั้งนี้ ในวันที่ 29 ก.ค. เวลา 15.00 น ที่ห้องประชุม 2 อาคาร 1 ตร.  พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะนำรายชื่อผู้เหมาะสม เข้าที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกอีกครั้ง มีนายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นประธาน พร้อมด้วยรองผบ.ตร. และ จตช. รวม 8 ท่าน ร่วมประชุมเพื่อดเลือกรายชื่อมาดำรงตำแหน่งระดับ รองผบ.ตร. – ผบช.  พร้อมกับสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างกองบัญชากาและคาดว่าจะมีการคัดเลือกกว่า  100 รายชื่อ โดยเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 กฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ระดับ สว.ถึง จตช. และรองผบ.ตร. พ.ศ.2549
 
สำหรับรายชื่อรองผบช. 22 ตำแหน่งที่ได้เลื่อนขึ้นประกอบด้วย พล.ต.ต.วัฒนา สักกวัตร รอง ผบช.ภ.5 นรต.รุ่น 29 พล.ต.ต.สุชีพ หนูนาง รอง ผบช.ภ.7 นรต.รุ่น 29 พล.ต.ต.สมโชค เจริญพร รองผบช.สกพ.นรต.รุ่น 29 พล.ต.ต.วรเทพ เมธาวัธน์ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.กวี สุภานันท์ รอง ผบช.ภ.4  พล.ต.ต.สุวิระ ทรงเมตตา รอง ผบช.รร.นรต. พล.ต.ต.ณรงค์ กาญจนะ รองจตร.(สบ7) พล.ต.ต.จุตติ ธรรมมโนวานิช รองผบช.ภ.7 พล.ต.ต.สุรพงษ์  เขมะสิงคิ รองผบช.ศชต. พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย อเนกเวียง รองผบช.ศชต.  พล.ต.ต.เชิด ชูเวช รองผบช.ก. พล.ต.ต.นเรศ  นันทโชติ พล.ต.ต.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์  รองผบช.น. พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ รองผบช.สทส.  พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผบช.สกพ. พล.ต.ต.พจน์ ไทยกล้า รองผบช.ภ.6 พล.ต.ต.ธีระศักดิ์ กลิ่นพงษา รองผบช.ภ. 4 คนสนิท พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม พล.ต.ต.คำรบ ปัญญาแก้ว รองผบช.ภ. 7 พล.ต.ต.โสภณ  พิสุทธิวงศ์ รองผบช.ภ.7 พล.ต.ต.พิสัณห์ จุลดิลก รองผบช.ภ. 8 พล.ต.ต.สุรพล  ธนโกเศศ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.จิตต์เจริญ  เวลาดีวงณ์ รองผบช.สยศ.ตร.
 
สำหรับรายชื่อที่คาดว่าจะได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งสำคัญ  อาทิ  พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ  รองผบช.น. นรต.รุ่น 37เพื่อนร่วมรุ่น วปอ. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นเป็นผบช.ภ. 1  พล.ต.ท.วินัย  ทองสอง  ผบช.ภ.1 หลานเขย คุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร โยก เป็นผบช.ภ. 2  พล.ต.ต.เชิด ชูเวช  รองผบช.ก  สายตรง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร.กลับคืนถิ่นขึ้นเป็น ผบช.ภ. 3  พล.ต.ต.กวี  สุภานันท์  รองผบช.ภ. 4  สายตรงพล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นเป็นผบช.ภ. 4 พล.ต.ท.ยงยุทธ  เจริญวานิช  รอง ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร.(นรต. 30) ได้แรงหนุนจากเพื่อนร่วมรุ่น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี  ขึ้นเป็น ผบช.ภ. 8 พล.ต.ต.พิสิฎฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รองผบช.น. (นรต. 321) ได้แรงหนุนจากเพื่อนร่วมรุ่น พล.ต.ท.วินัย ขึ้นเป็นผบช.ภ. 9 พล.ต.ต.สฤษฎ์ชัย อเนกเวียง  รองผบช.ศชต.( นรต.30)  มือทำงานของพล.ต.อ.อดุลย์  แสงสิงแก้ว รองผบ.ตร.ขึ้นเป็น ผบช.ส.  พล.ต.ต.สุวิระ ทรงเมตตา  รองผบช.รร.นรต.( นรต. 37) ขึ้นเป็นผบช.ศ. พล.ต.ต.ชัยยง กีรติขจร  จตร. (สบ8) เป็น ผบช.กตร. พล.ต.ต.รุ่งโรจน์  แสงคร้าม รองผบช.สกพ. มือทำโผ ลูกหม้อ สกพ. เป็นผบช.สกพ. พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผบช.ภ. 3 (นรต. 30) และเป็นคนสนิท คุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นผบช.สตม.   พล.ต.ต.สุรพงษ์  เขมะสิงคิ  รองผบช.ศชต. (นรต. 29) กลับถิ่นเก่าขึ้นเป็นผบช.ตชด.  พล.ต.ท.ปัญญา  มาเม่น ผบช.ภ. 2 (นรต.32) โยกเป็นผบช.สพฐ.  พล.ต.ต.พจน์  ไทยกล้า  รองผบช.ภ. 6 สายตรง พ.ต.ท.ทักษิณ คาดว่าจะเป็นผบช.ประจำประสานนายกรัฐมนตรี
พล.ต.ต.สุรพล  ธนโกเศศ รอง ผบช.สตม. (นรต.28) สายตรงพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พล.ต.ต.จิตต์เจริญ เวลาดีวงณ์ รองผบช.สยศ.ตร.เด็กในสาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมต.กลาโหม พล.ต.ต.ธีระศักดิ์ กลิ่นพงษา รองผบช.ภ. 4 อดีต นายเวร พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมคาดว่าได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการประจำ.

ไม่ยอมคืนเงินอดีตขรก.บำนาญเดือดชัก9มม.ยิงผัวเมียสาหัส





เมื่อเวลา 00.15 น.วันที่ 29 ก.ค. พ.ต.ท.อธิคม อภิชยนุกูลกิจ พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.สุทธิสาร ได้รับแจ้งเหตุยิงกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณหน้าร่มฉัตรอพาร์ตเม้นต์ ภายในซอยรัชดาภิเษก 13 ถนนรัชดาภิเษก แขวง-เขตดินแดง จึงไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผกก. พ.ต.ท.ธงชนะ หาญกิตติกาญจนา รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.เสน่ห์ วันทอง พ.ต.ต.ดวงโชติ สุวรรณจรัส สว.สส. และเจ้าหน้าที่กู้ภัยร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุพบร่างนายบัว ขวัญเอี่ยม อายุ 73 ปี มีบาดเเผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. เข้าที่บริเวณต้นคอขวา 1 นัด ไหล่ขวา 1 นัด เอวขวา 1 นัด และที่สะบักหลังซ้าย 1 นัด นอนหายใจรวยรินจมกองเลือด ใกล้กันพบนางอรุณ ร่มฤดี อายุ 60 ปี ภรรยานายบัว แม่บ้านอพาร์ตเม้นต์ มีแผลแตกที่ศีรษะจากการถูกตีด้วยด้ามปืน และถูกยิงกระสุนเฉี่ยวเอวซ้าย 1 นัด เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวทั้งคู่ส่ง รพ.ราชวิถี
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนายวินัย ศาสตรานนท์ อายุ 62 ปี อดีตข้าราชการบำนาญกรมทางหลวง ผู้ก่อเหตุ ไว้ได้ในสภาพมีกลิ่นสุราคละคลุ้ง จึงนำตัวไปสอบสวนที่โรงพัก
ด้าน พ.ต.ท.ธงชนะ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นนายบัวกำลังยืนคุยกับนางอรุณ จึงเข้าไปทวงเงินที่นางอรุณติดค้างไว้ ทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันอย่างรุนแรง หลังจากนั้นนายวินัยได้ชักอาวุธปืนขนาด 9 มม.ยี่ห้อซีแซด ซึ่งพกติดตัวออกมาจากเอว และใช้ด้ามปืนฟาดไปที่กลางหน้าผากนางอรุณจนแตกเลือดอาบใบหน้า นายบัวจึงคว้าไม้ที่วางอยู่ใกล้ๆ ฟาดใส่นายวินัยหลายครั้ง จึงถูกนายวินัยกระหน่ำยิง 7 นัดซ้อน ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว  เบื้องต้นแจ้งข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นดำเนินคดีต่อไป.

ซิ่งบิ๊กไบค์ประกบยิงหนุ่มใหญ่ดับคาปิกอัพ บนถนนรัชดาฯ




วันนี้ (29 ก.ค.) ร.ต.ต.ธีรพล พงศรี พนักงานสอบสวน (สบ.1) สน.สุทธิสาร รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต บริเวณเชิงทางขึ้นสะพานข้ามแยกรัชดาตัดถนนลาดพร้าว ขาออกมุ่งหน้าลาดพร้าว  แขวงจอมพล เขตจตุจักร จึงรายงานผู้บังคับบัญชาไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พล.ต.ต.พิสิฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ รอง ผบช.น.  พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์   รองผบก.น.2 พ.ต.อ.พีระพงศ์ วงษ์สมาน  รองผบก.น.2  พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวชผกก.สน.สุทธิสาร แพทย์ รพ.รามาธิบดี  เจ้าหน้ากองพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณ ช่องทางขวา ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีรัชดาภิเษก 30 เมตร เชิงทางขึ้นสะพานข้ามแยกรัชดาภิเษกตัดถนนลาดพร้าว  พบรถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ รุ่นพรีแลนด์เนอร์  สีขาว หมายเลขทะเบียน ถล 534 กทม  ถูกยิงเข้าที่กระจกข้างซ้ายแตกละเอียด ส่วนบริเวณพื้นถนน มีศพ  นาย  วิรัส  ดิลกศรี  อายุ 37 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 62 / 330 ม.8 ต.บึงบอน อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี  สภาพศพนอนหงาย สวมเสื่อกล้ามสีขาง กางเกงยีนขายาวสีน้ำเงิน มีบาดแผลถูกยิงเข้า บริเวณไหปลาร้า  แขนซ้าย ชายโครงด้ายซ้าย และบริเวณหลัง ด้วยอายุปืนขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวน 9  นัด  ห่างไปเล็กน้อยปลอกกระสุนปืนขนาดตกอยู่จำนวน 2 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานเพื่อนตรวจสอบ  ส่วนผู้บาดเจ็บ 1 ราย ทราบชื่อคือนาย วิสันต์ สุริวงศ์ 37 ปี ถูกยิงเข้าที่บริเวณไหปลาล้าด้านซ้าย  เจ้าหน้าที่ได้นำส่งรพ.เปาโลเมโมเรียล เบื้องต้นยังไม่สามารถให้การได้ 
ด้าน พ.ต.อ.วิบูลยุทธ  เปิดเผยว่า  จากการสอบสวน พยานที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นคนขับแท็กซี่ ให้การว่า  ก่อนเกิดเหตุ พบเห็นรถคันเกิดเหตุขับอยู่ช่องกลาง โดยมีรถเก๋งฮอนด้า รุ่นแจ็ส  สีขาวขับตามมาเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วเป็นรถของกลุ่มเพื่อนผู้ตาย ขณะถึงบริเวณ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ได้มีรถจักรยานยนต์ แบบบิ๊กไบค์ สีดำ แจ็คเก็ตสีแขนยาวสีดำ คนขับสวมหมวกกันน็อคแบบเต็มใบสีขาว  ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับตามประกบขึ้นมาก่อนจะใช้อาวุธปืนสั้น ยิงเข้าไปบริเวณฝั่งของผู้ตาย ก่อนจะขับขึ้นสะพานหลบหนีไป  ส่วนรถยนต์ฮอนด้าแจ็ส หลังเกิดเหตุคาดว่าจะขับตามรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไป โดยหลังเกิดเหตุคาดว่าคนขับคงพยายามที่จะขับต่อไปก่อนที่จะจอดเพื่อลงมาดูเพื่อนที่บริเวณดังกล่าว 
ด้าน พล.ต.ต.พิสิฎฐ์  เปิดเผยว่า  จากการสอบสวนเบื้องต้น  ทราบว่าก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายพร้อมเพื่อน รวม5 คนเป็นชาย 2คนผู้หญิง 1 คน  ได้ไปเที่ยวผับชื่อดังแห่งหนึ่ง ใกล้แยกเหม่งจ๋าย ก่อนจะมาต่อกันที่ผับอีกแห่งย่านสุทธิสาร โดยระหว่างนั้นผู้ตายมีอาการเมา และพยายามจะเข้าไปขอซื้อของบางอย่างจากผู้ค้ารายหนึ่งแต่ผู้ค้าไม่ยอมขายให้ ทำให้ผู้ตายโมโหจึงตบไปที่ใบหน้าของชายคนดังกล่าว หลังจากนั้นคาดว่าชายผู้นั้นน่าจะดักรอและประกบตามผู้ตายมาก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและเพื่อน ก่อนจะหลบหนีไป

แม้วกล่อม ส.ส.แก้ รธน.อย่าใจร้อน-ต้องประคองปู





วันที่ 28 ก.ค. เวลา 19.45 น. ระหว่างงานเลี้ยงหลังสัมมนาพรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ได้สไกป์กล่าวขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเททำงานให้บ้านเมืองและมีความสามัคคี แม้มีคนปรารถนาให้พรรคอ่อนแอ แต่เรายังแข็งแรงทำงานร่วมอุดมการณ์และประชาชนให้การสนับสนุน วันนี้ความขัดแย้งในบ้านเป็นความขัดแย้งไปในทิศทางการพัฒนาประชาธิปไตย  แต่มีคนกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วย ขณะที่ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ เพราะมีผลต่อสถานะ ความสุขตัวเอง จึงนำการปฏิวัติมาใช้และ เมื่อพรรคเพื่อไทยสัญญาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย จึงถูกขัดขวาง และเข้าใจผิดเพราะว่าประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศ

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวด้วยว่า แต่สิ่งที่เศร้าใจคือพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคประชาธิปไตยกลับไปร่วมกับกลุ่มที่ไม่ต้องการประชาธิปไตย จึงทำให้การพัฒนาล่าช้าและมีปัญหา จึงต้องเดินยุทธศาสตร์ตรงนี้ให้ถูกต้อง รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่าการใช้ความรุนแรง เด็ดขาด และมุ่งมั่นจะแก้ให้ได้ แต่ต้องระมัดระวัง หลักการคือประคองรัฐบาลให้นานที่สุด เพื่อให้ฝ่ายไม่เห็นด้วยได้เรียนรู้แล้วเขาจะเดินเข้าสู่เส้นทางประชาธิปไตย นี่คือสิ่งที่ตนต้องการ

"เราเป็นรัฐบาลอย่าใจร้อน ต้องนิ่ง สุขุมรับฟัง อดทนและรักประชาชน ส่วนความใจร้อนเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน และไม่ต้องห่วงว่า ผมจะได้กลับเมื่อไหร่ เพราะไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถพูดคุยให้คำแนะนำปรึกษาได้" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวและว่าในเดือน ส.ค.นี้พรรคจะออกพื้นที่สำรวจว่า ส.ส.คนไหนประชาชนชื่นชอบหรือเขาอยากมี ส.ส.ใหม่ เพราะคนเก่าไม่ดูแลประชาชน จึงบอกให้ ส.ส.รู้ไว้และจะได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง.

"จงรัก"หนุน"นิคม"นั่งประธานวุฒิสภาคนใหม่




วันนี้ ( 29 ก.ค.) พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ สว.สรรหา กล่าวว่า สว.สรรหา กับสว.เลือกตั้ง ต่างถือว่าเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยเหมือนกันตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีการแตกแยกกันตามที่มีบางคนเข้าใจ ตนอยู่ในสภาก็เห็นทุกคนรักใคร่สนิทสนมกัน เวลาจะพูดคุยกันก็ไม่เห็นมีใครมาพูดว่าคนนี้มาจากการเลือกตั้งหรือคนนั้นมาจากการสรรหา เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดว่ามีการแบ่งแยกกัน ไม่มีหรอกแต่อาจมีบางคนที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกันไป ซึ่งก็เป็นธรรมดาในระบอบประชาธิปไตยที่มีความเห็นแตกต่างได้
“  สว.สรรหาคนหนึ่งอาจมีความคิดเห็นทางการเมืองอย่างหนึ่ง แต่จะไปเหมาว่าสว.สรรหาคนอื่นๆอาจมีความคิดเห็นเหมือนกันนั้น เป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกันหากสว.เลือกตั้งมีความเห็นทางการเมืองอย่างหนึ่ง ก็จะเหมารวมว่าสว.เลือกตั้งทุกคนมีความคิดเห็นเหมือนกัน ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน” พล.ต.อ.จงรัก กล่าว
สว.สรรหา กล่าวต่อว่า สำหรับปัญหาเรื่องประธานวุฒิสภาคนใหม่นั้น เห็นว่าขึ้นอยู่กับคุณสมบัติความรู้ความสามารถมากกว่าที่มาของผู้ที่จะมาเป็น ไม่ต้องคำนึงถึงที่มาว่าต้องมาตากการสรรหาหรือมาจากการเลือกตั้ง ใครก็ได้ที่มีความเหมาะสมก็เป็นได้ทั้งนั้น ข่าวที่ออกมาดูเสมือนว่าจะมีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายว่าเป็นฝ่ายสรรหากับฝ่ายเลือกตั้ง ซึ่งตนเห็นว่าจริงๆแล้วไม่มี ทุกคนสนิทสนมกันทั้งนั้น ไม่มีการแย่งอำนาจกันตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีมีรายชื่อสว.หลายคนน่าจะถูกนำเสนอชื่อเป็นประธานวุฒิสภาคนใหม่นั้น โดยส่วนตัวแล้วในฐานะที่เคยเป็นรองผบ.ตร.มาก่อนแล้วอยู่ในฝ่ายบริหาร ตามหลักแล้วเมื่อหัวหน้าฝ่ายบริหารพ้นจากตำแหน่งก็ควรจะแต่งตั้งผู้ที่ทำหน้าที่เป็นรองขึ้นมาแทนเพราะผู้ที่เป็นรองเป็นผู้ที่ทำหน้าที่มาอยู่แล้ว มีความรู้ความเข้าใจในหน้าที่อยู่แล้ว เมื่อเข้าทำหน้าที่ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ทันทีต่อเนื่องเลย ไม่ต้องมาศึกษางานอะไรกันอีก
“มันคงเป็นเรื่องแปลกเมื่อหัวหน้าฝ่ายบริหารพ้นจากตำแหน่งแล้วไปเอาคนอื่นกระโดดข้ามเข้ามาเป็น ทั้งๆที่รองหัวหน้าฝ่ายบริหารนั้นยังนั่งอยู่ แต่นี่เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติจะทำอย่างไรก็มาคิดกัน สรุปแล้วผมเห็นว่าท่านนิคม ไวยรัชพาณิชย์ ซึ่งเป็นรองประธานคนที่ 1 มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่จะเป็นประธานวุฒิสภาคนต่อไปมากที่สุด”พล.ต.อ.จงรัก กล่าว

สัมมนาเพื่อไทยไม่มีข้อสรุป ทางออกแก้รัฐธรรมนูญ





วันนี้ ( 29 ก.ค.) ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา มีการสัมมนาพรรคเพื่อไทยเป็นวันที่สอง เป็นการเปิดให้ตัวแทนรายภาคนำข้อเสนอและความเห็นของที่ประชุมกลุ่มย่อยตามรายภาค ตามที่พรรคได้ตั้งคำถามใน 3 หัวข้อ คือ บทบาทส.ส.ต่อการสนับสนุนรัฐบาล ต่อการทำงานสภาและการทำงานกับประชาชนมาอภิปรายและสรุปในภาพรวม โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย ผอ.พรรคเพื่อไทยและนายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรครับฟังข้อเสนอแนะและชี้แจงข้อซักถาม
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นนำเสนอผลการหารือของภาคอีสานอย่างดุเดือด ว่า  คนอีสานสะท้อนผ่านมายังส.ส.ว่าต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรมและได้เลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามาเพื่อทำในสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นพวกตนต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรม เรื่องรัฐธรรมนูญเราไม่อยากแพ้ พรรคจะทำอย่างไรไม่ให้พวกเราแพ้ เวลาที่พวกตนเสนอเรื่องประชาธิปไตย พรรคก็ต้องเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่พรรคไม่รู้ ไม่ฟัง รัฐมนตรีไม่เข้าประชุมพรรค ส.ส.เข้าหาก็ยากและหัวใจสำคัญวันนี้ต้องเร่งแก้ปัญหาราคายางพารา ข้าวและมันสำปะหลัง ที่วันนี้ล้มเหลว ทุกจังหวัดเป็นอย่างนี้หมด
ขณะที่นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี กล่าวว่า ปัญหาหนึ่งคือเรื่องข้าราชการที่คนร่วมต่อสู้ไม่ได้ดีแต่คนเปลี่ยนสีกลับได้ดี โดยเฉพาะ 3 กระทรวงใหญ่ มหาดไทย คมนาคมและศึกษาธิการ เรื่องใหญ่สุดคือกรรมการกองทุนสตรี พรรคให้ส.ส.ส่งชื่อผู้ที่เหมาะสม แต่สุดท้ายคนที่ได้คือคู่แข่งพรรคเรา เพราะข้าราชการไม่ใช่ของเรา เช่นเดียวกับนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อและแกนนำกลุ่ม นปช.กล่าวว่า การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทหาร ในเดือน ต.ค.นี้มีข่าวว่าทหารที่มีส่วนในการปราบปรามประชาชนจะได้รับการโปรโมทในตำแหน่งที่สูงขึ้น ซึ่งมวลชนคงไม่ชอบใจ นอกจากนี้เห็นด้วยว่าอีสานเป็นภาคใหญ่มีส.ส.จำนวนมาก หากเป็นไปได้ขอให้พรรคพิจารณาเพิ่มเก้าอี้รัฐมนตรีให้ส.ส.อีสานเพิ่มเพื่อประโยชน์ในเรื่องการทำงาน
ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย กล่าวว่า ภาคเหนือยืนยันว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยวิธีการให้มีส.ส.ร.ตามที่พรรคได้รณรงค์หาเสียงและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายรัฐบาลไว้ต่อรัฐสภาไว้ และภาคเหนือมีมติไม่ถอนพ.ร.บ.ปรองดอง ออกจากวาระประชุมสภา 
นอกจากนี้ภาคเหนือมีความเป็นห่วงโครงการรับจำนำข้าว มันสำปะหลังและยางพารา จะเข้าพบรัฐมนตรีเพื่อสะท้อนปัญหาก็พบยาก หรือกรณีมีการทุจริตงบประมาณแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เมื่อทราบมาแล้วจะสื่อให้ทราบอย่างไรขอให้พรรคจัดระบบตรงนี้ด้วย นอกจากนี้ไม่เห็นด้วยกับโครงสร้างใหม่ 19 โซนกลุ่มจังหวัด

อย่างไรก็ตามจากการสัมมนาพรรคเพื่อไทยใน 2 วันนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าพรรคจะเลือกใช้แนวทางใดในการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยนายภูมิธรรม ได้กล่าวสรุปในตอนท้ายก่อนปิดการสัมมนา โดยยืนยันว่า จะไม่ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองและร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญออกจากสภา ส่วนจะดำเนินการ มีขั้นตอนอย่างไรต้องคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลและส.ส.ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันต่อไป

 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อกรณีที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา มีท่าทีจะถอนร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ที่อยากจะให้มีการถอนเรื่องดังกล่าวออกจากวาระการประชุมสภาฯ ซึ่งตนอยากเรียกร้องให้นายสมศักดิ์ แสดงความกล้าหาญในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ เรียกผู้เสนอร่างพ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับมาพูดคุยเป็นการภายใน  ซึ่งการอ้างว่าการถอนต้องเป็นมติจากที่ประชุมนั้นเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะข้อเท็จจริงมีการคุยนอกรอบและตกลงกัน ถ้าจะปฏิเสธความรับผิดชอบและโยนสู่สภาฯนั้น อยากจะถามว่าในวันที่บรรจุ นายสมศักดิ์ก็รู้เห็นเป็นใจที่บรรจุเข้าวาระประชุม จึงอยากให้มี่ความจริงใจอย่าเล่นละคร
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ส่วน กรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  สไกป์มายังงานเลี้ยงของพรรคเพื่อไทย ในระหว่างการสัมมนาพรรค ที่จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 28 ก.ค.นั้น คิดว่าการสไกป์ครั้งนี้ชัดเจน บ่งบอกตัวตนว่าคือผู้บงการรัฐบาลนี้ ตอกย้ำว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นแค่นอมินีและหุ่นเชิด และทักษิณเป็นเจ้าของพรรคและรัฐบาลชุดนี้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด

ผู้ใจบุญติดต่อพ่อแฝดสยามปากน้ำโพ เพื่อช่วยเหลือ


จากกรณีที่เดลินิวส์ได้นำเสนอข่าว เด็กฝาแฝดสยามเพศหญิง อายุ 3 ปี 8 เดือน ชาวจังหวัดนครสวรรค์ มีร่างกายผิดธรรมชาติ ลำตัวติดกันแต่มีขาและอวัยวะเพศร่วมกัน กำลังรอคอยความช่วยเหลือจากผู้ใจบุญ อยู่ที่ห้องเช่า ภายในบ้านเลขที่ 158/15 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เนื่องจากกำลังประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสาวแฝดเป็นอย่างมากนั้น
วันนี้ (29 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบเด็กฝาแฝดสยาม ที่บ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง พบว่า ที่อยู่อาศัย เป็นห้องเช่าเล็กๆ ขนาด 6x4 เมตร โดยที่ภายในห้อง พบนายมนัส ร่มโพธิ์เย็น อายุ 33 ปี กำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้แก่บุตรน้อยฝาแฝดสยาม คือ ด.ญ.จรูณโรจน์ หรือน้องปาน และด.ญ.จรูณพันธุ์ หรือน้องปิ่น ร่มโพธิ์เย็น ที่สภาพมี 2 ศีรษะ มีแขน 4 ข้าง แต่กลับมีร่างกายเดียวกัน มีขา 2 ข้าง และมีรูทวารเพียงรูเดียว ซึ่งทั้งคู่ไม่สามารถเดินเองได้ ต้องมีคนคอยอุ้มประคองอยู่ตลอดเวลา
จากการสอบถามนายมนัส เปิดใจเล่าให้ฟังว่า ตนได้แต่งงานอยู่กินกับภรรยา คือนางวาสนา ร่มโพธิ์เย็น อายุ 24 ปี มาเป็นเวลากว่า 1 ปี ก่อนจะให้กำเนิดลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคน เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 52 และตอนที่บุตรพึ่งเกิดใหม่ ก็ได้มีสื่อมวลชนจากทุกแขนงในพื้นที่ นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว จนทำให้มีประชาชนผู้เมตตา รวมถึงหน่วยงานราชการต่างๆ ในจังหวัดมาให้การช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก แต่ก็เป็นเพียงแค่การช่วยเหลือในระยะสั้นๆ เท่านั้น จึงทำให้ทุกวันนี้ ครอบครัวต้องใช้ชีวิตอยู่กันอย่างยากลำบาก เนื่องจากมีฐานะยากจน โดยตนประกอบอาชีพรับจ้างเชิดแห่มังกร มีรายได้เพียงครั้งละ 500- 1,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน เพราะหากไม่มีคนจ้างให้ไปแสดง ก็จะไม่มีรายได้มาใช้จ่ายเลี้ยงจุนเจือครอบครัว ส่วนภรรยาตน ประกอบอาชีพค้าขายอยู่ในตลาดเทศบาลนครนครสวรรค์ มีรายได้ต่อเดือน จำนวน 5,000 บาท
“ทุกวันนี้ บุตรของตนได้รับการช่วยเหลือ จากเงินคนพิการ จำนวน 2,000 บาท แต่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในการเลี้ยงดูบุตรทั้งสองนั้น เดือนหนึ่งสูงกว่า 15,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากจะมีค่านม และค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายในการพาบุตรสาวเดินทางไปทำกายภาพที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นประจำทุกสัปดาห์ ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง จึงอยากวอนขอผู้ใจบุญโปรดให้ความช่วยเหลือน้องปานและน้องปิ่นด้วย เพราะลำพังตนและภรรยา รับจ้างอย่างเดียวไม่พอกิน อีกทั้ง ยิ่งช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ยิ่งทำให้ตนต้องขาดรายได้จากการรับจ้างเชิดมังกรไปโดยปริยายนานหลายเดือน เพราะเป็นช่วงที่ไม่มีใครกล้าจ้างให้คณะมังกรไปทำการแสดง หนำซ้ำ บุตรก็ยังโตขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายเริ่มเพิ่มมากขึ้น” นายมนัสกล่าวด้วยสีหน้าอันเศร้าสร้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงการผ่าตัดแยกร่างน้องปานและน้องปิ่น นายมนัสกล่าวว่า เป็นไปได้ยาก โดยแพทย์ที่ดูแลน้องปานและน้องปิ่น ระบุว่า ไม่สามารถผ่าตัดแยกร่างกายให้ได้ เนื่องจากลูกสาวทั้งคนมีลำตัว และกระดูกเชิงกรานติดกัน จึงต้องปล่อยให้ดำเนินชีวิตแบบนี้ต่อไป เพราะว่าหากเข้ารับการผ่าตัด จะเสี่ยงต่อการที่ใครคนหนึ่งต้องเสียชีวิต ส่วนปัญหาอื่น จะมีก็เรื่องรูทวารที่บริเวณหน้าท้องเล็กเกินไป จึงทำให้เวลาขับถ่ายไม่ค่อยสะดวก ตนและภรรยาต้องใช้ด้ามเทียนไขคอยยัดรูทวารของลูกสาวไว้ ในช่วงเย็น วันละประมาณ 5-10 นาที เพื่อไม่ได้รูทวารปิด ลูกสาวก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่เราเป็นพ่อเป็นแม่ ยิ่งเจ็บปวดกว่าหลายเท่า สงสารลูกมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เมื่อถามต่อว่า หลังจากที่เดลินิวส์มีการนำเสนอข่าวออกไป เริ่มมีผู้ใจบุญเข้าให้การช่วยเหลือบ้างหรือไม่ พ่อเด็กแฝดสยาม กล่าวว่า หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวออกไป ปรากฏว่า ในวันนี้มีผู้ใจบุญที่ขอไม่ประสงค์เปิดเผยนาม ประมาณ 10 กว่าราย โทรเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของตน เพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับน้องปานและน้องปิ่น รวมทั้งเรื่องเส้นทางที่จะเดินทางมาที่บ้าน และเรื่องยี่ห้อนมที่เด็กดื่มกิน พร้อมกับรับปากว่าจะเดินทางมาให้การช่วยเหลือในภายหลัง ซึ่งทางครอบครัวต้องขอขอบคุณเดลินิวส์อย่างสูง ที่ช่วยนำเสนอข่าวในครั้งนี้
ทั้งนี้ หากผู้ใดมีจิตศรัทธาต้องการให้ความช่วยเหลือในเรื่องสิ่งของหรือเงินค่าใช้จ่าย สามารถบริจาคโดยตรงได้ที่บ้านเลขที่ 158/15 หมู่ 1 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ หรือที่บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขานครสวรรค์ หมายเลขบัญชี 5062581474 หรือโทรสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ของนายมนัส หมายเลข  089-6384482

"รัชนก"ประเดิมชัยตบลูกขนไก่ "ลอนดอนเกมส์"





  การแข่งขันแบดมินตัน กีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 30 "ลอนดอนเกมส์ 2012" ที่กรุงลอนดอน ประเทศ อังกฤษ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่เวมบลีย์ อารีน่า หญิงเดี่ยว รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก กลุ่ม M "น้องเมย์" รัชนก อินทนนท์ มือ 10 ของโลก และแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัย ลงสนามพบ ธิลินี จายาซิงห์ มือ 118 โลก (ศรีลังกา) ผลปรากฎว่า "น้องเมย์" โชว์ฟอร์มได้เหนือชั้นกว่ามาก เอาชนะไปได้แบบสบาย 2-0 เกม 21-13, 21-5 แต้ม โดยใช้เวลา 21 นาที
  สำหรับ รัชนก จะลงแข่งขันในนัดต่อไป พบ เทลม่า ซานโต๊ส จากโปรตุเกส วันที่ 31 ก.ค. เวลา 19.42 น.

เปิดตัวบัตรเครดิตชาวนาพร้อมแจกตัวแทนเกษตรกร





วันนี้ (29 ก.ค.)  น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุม ครม.นอกสถานที่ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา โดยมีรัฐมนตรีบางส่วน อาทิ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เดินทางไปถึงท่าอากาศยานจ.ร้อยเอ็ด โดยมีผวจ.ร้อยเอ็ด ข้าราชการระดับสูง กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และคนเสื้อแดง ให้การต้อนรับ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ "น้องไปป์" ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย ได้ร่วมคณะเดินทางด้วย
จากนั้นนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางโดยขบวนรถยนต์ไปยังโรงสีข้าว สหกรณ์เกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ต.เหล่าหลวง อ.เกษตรวิสัย เพื่อเป็นประธานเปิดตัวโครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกร  พร้อมมอบบัตรสินเชื่อเกษตรกรให้แก่ผู้แทนเกษตรกรจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 ราย  และมอบ Mock up บัตรสินเชื่อเกษตรกรให้เกษตรกรจ.ร้อยเอ็ด 1 ราย   และชมการสาธิตการใช้บัตรสินเชื่อเกษตรกรซื้อปัจจัยการผลิตผ่านเครื่องรูดบัตร EDC ก่อนเยี่ยมชมร้านค้าธงฟ้าในมหกรรมสินค้าราคาถูก และตลาดนัดเครื่องจักรกล
โดยตัวแทน ธ. ก. ส. รายงานว่าพร้อมมอบบัตรสินเชื่อให้แก่เกษตรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศแล้วจำนวน 8.2 แสนบัตร และจะดำเนินการให้ครบ 2 ล้านบัตรภายในเดือน ธ.ค.นี้ จากนั้นก็จะขยายไปยังเกษตรกรผู้ผลิตพืชผลการเกษตรชนิดอื่นต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลทำงานมาเกือบ 1ปี ทราบถึงปัญหาของเกษตรกร ทั้งเรื่องของแหล่งน้ำ ราคาผลผลิตตกตำ และแหล่งทุนในการทำการเกษตรจึงได้นำปัญหาเหล่านั้นไปผลักดันเป็นนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเป็นที่มาของโครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรสามารถจัดหาปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพและราคาเป็นธรรม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและแบ่งเบาภาระด้านการเงินของเกษตรกร โดยวงเงินที่เกษตรกรจะได้รับแต่ละรายไม่เกิน 5 บาทตามพื้นที่การผลิตข้าว หรือขึ้นอยู่กับผลผลิตทางการเกษตรที่เหลือขายไม่เกินร้อยละ 70 และปลอดดอกเบี้ย 5 เดือนแรก ของรอบการผลิตหลังจากนั้นจะคิดดอกเบี้ยในอัตราลูกหนี้ชั้นดีร้อยละ 7 ต่อปี และหากชำระหนี้เร็ว ตรงเวลา ก็จะมีส่วนลดพิเศษให้ รวมทั้งขยายวงเงินสินเชื้อให้อีกในครั้งต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า โครงการดังกล่าวจะไม่ทำให้ไม่เสียวินัยการเงินการคลังและสร้างภาระให้ประชาชน เพราะมีโครงการต่างๆมารองรับและกฎระเบียบชัดเจน อีกทั้งเกษตรกรรูดซื้อได้เฉพาะปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ น้ำมัน เท่านั้น ไม่สามารถนำไปซื้อมอเตอร์ไซด์ หรือโทรศัพท์มือถือ  จากนั้น นายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ทั้งนี้การเดินทางมา จ.ร้อยเอ็ด ในครั้งนี้ ยังคงมีประชาชนและคนเสื้อแดงที่มารอให้การต้อนรับแต่ละจุดจำนวนมาก ให้ความสนใจจดหมายเลขทะเบียนรถของนายกรัฐมนตรี เพื่อลุ้นหวย โดยนายกรัฐมนตรีใช้รถโฟล์คตู้สีดำ ทะเบียน ฮน 111 กทม. 

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design Downloaded from Free Blogger Templates Download | free website templates downloads | Vector Graphics | Web Design Resources Download.