ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามคำแหง บางกะปิ 083-792-5426

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured post 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured post 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured post 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured post 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ รามตำแหง บางกะปิ 083-792-5426

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

กระทรวงศึกษาป่่วนโดนแฮกเกอร์จัดหนักขั้นล่ม




แฮกเกอร์สุดแสบ ลอบแฮกระบบ กระทรวงศึกษา ทำเว็บล่ม พร้อมส่งข้อความ รักษาเสรีภาพ ฝ่ายเจ้าหน้าที่สุดทนต้องจำปิดเว็ปแก้ไขด่วน
วันนี้ (17 ก.ย.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ http://www.moe.go.th  ถูกแฮกเกอร์ ซึ่งคาดว่าเป็นเยาวชน แฮกระบบ เข้าไปทำให้ปรากฏข้อความ "Hacked by Gliech zi  Libertia... We don't need you.. Bring me Democrazy!" ด้วยตัวอักษรดำบนพื้นสีชมพู สลับกับภาพอักษรขาว พื้นสีดำ ข้อความว่า  พวกเราคือ "Libertia" เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ เพื่อรักษาเสรีภาพของเรา คุณไม่มีสิทธิ์ในการควบคุมวัยรุ่นอยากพวกเรา เรามีชีวิต เรามีกฏของพวกเราเอง และภาพข้อความภาษาอังกฤษ อักษรขาว บนพื้นสีดำ " We're Libertia We do whatever we want, because we can Don't dominant your teenager. We have our life, We have our rules "
หลังจากที่เว็บไซต์ถูกแฮกไม่นาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายไอทีของกระทรวงศึกษาธิการ ได้ทำการปิดเว็บไซต์ชั่วคราวเพื่อทำการแก้ไข
ด้าน น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า มอบหมายให้ศูนย์สารสนเทศของศธ.ไปตรวจสอบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากคนกลุ่มใด แต่เท่าที่ดูข้อความคาดว่าน่าจะเป็นเยาวชน ที่อาจจะมีความอึดอัดใจซึ่งตนก็อยากทราบว่า เขามีความอึดอัดใจเรื่องอะไร เพื่อจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาต่อไป อย่างไรก็ตาม ถือว่าระบบข้อมูลของ ศธ.มีความบกพร่องอย่างมาก ที่ไม่สามารถป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ได้ โดยในอนาคตคงต้องมีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพต่อไป"

ข้อเสนอเพื่อการพัฒนาชาติ : ยุทธศาสตร์ด้านสังคม






จากงานแถลงยุทธศาสตร์ชาติของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หรือ นศ.วปอ.รุ่น 54 ณ สโมสรทหารบก (วิภาวดี) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน  ซึ่งประเด็นสำคัญที่คณะนศ.วปอ.54 นำเสนอเป็นการทำยุทธศาสตร์ชาติปี  2556-2560 เพื่อเป็นการวางรากฐานให้กับประเทศนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน โดยเสนอ 4 ยุทธศาสตร์ได้แก่ 
1.ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของชาติสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยใช้ความได้เปรียบจากตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทย ที่เชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ รอบทิศ โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านทั้งระบบราง ทางน้ำ ทางอากาศ และทางท่อ รวมถึงการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อระดมจากทั้งในและต่างประเทศ
2.ยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชาติ และการจัดตั้งคณะกรรมการระดับการปฏิรูปการศึกษาให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อปฏิรูปการศึกษาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ทั้งการพัฒนาครูปรับการเรียนการสอน หลักสูตรการศึกษาระบบการรับนักเรียนเข้าระดับอุดมศึกษา ส่งเสริมให้มีศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นต้น
3. ยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาครัฐและเอกชนมีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล
4. ยุทธศาสตร์การยุติสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ที่ นศ.วปอ. เสนอไปนั้น มีปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ไม่อาจละเลยได้ คือ คุณภาพของคน ซึ่งเป็นผู้ที่รับผลของการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ที่เสนอและเป็นผู้ที่ขับเคลื่อนให้ยุทธศาสตร์แห่งชาติ เป็นความจริงขึ้นมาได้
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อกล่าวถึงคุณภาพของคนไทยแล้ว คงไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า สังคมไทยเองก็ยังมีความกังวล และมีข้อกังขาต่อคุณภาพของคนไทยอยู่ไม่น้อย เห็นได้จากรายงานต่าง ๆ ของผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งในส่วนที่พวกเรารับรู้จากสภาพสังคมที่เป็นอยู่ก็ตาม ยิ่งเมื่อรัฐบาลทุ่มเททรัพยากรและความพยายามทั้งมวล เพื่อแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าและการเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ.2558 ย่อมนำความกังวลในเรื่องคุณภาพของคนไทยอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าประเทศไทยจะพยายามอย่างยิ่งที่จะปฏิรูปการศึกษามาตั้งแต่ ปี2542 ที่มีความพยายามปรับปรุงการศึกษาทั้งระบบ แต่ทว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งยุบเลิก แบ่งแยก และจัดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรต่าง ๆ การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งมีการทุ่มเทงบประมาณอย่างมหาศาลไปเพื่อการศึกษา ซึ่งล้วนเป็นความพยายามที่จะสร้างคุณภาพการศึกษา แต่ก็ยังไม่ทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น หากจะปล่อยให้กระบวนการของการปฏิรูปการศึกษาพัฒนาไปอย่างช้า ๆ เช่นนี้ การศึกษาก็อาจจะไม่สามารถพัฒนาคุณภาพคนให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกอย่างรวดเร็วและรุนแรงได้ เราจึงขอเสนอข้อเสนอเพื่อเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษา 5 ประเด็น เพื่อเสริมเติมเต็มให้กับความพยายามของรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน  โดยมีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
1.  เร่งปรับปรุงคุณภาพการศึกษา โดยให้ความสำคัญการพัฒนาหลักสูตร และปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอนที่เน้นส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนด้วยตนเองเป็นหลัก โดยครูมีบทบาทกระตุ้นส่งเสริมตามหลักการให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากกว่าการบอกความรู้ ซึ่งอาจต้องทบทวนเนื้อหาสาระที่จำเป็นจริงๆ และเพื่อให้ได้การศึกษาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสูง ต้องมีการปรับระบบการวัดผลประเมินผลใหม่โดยใช้ระบบการวัดผลประเมินผลกลางที่เป็นมาตรฐานกลางของประเทศ ปรับระบบการเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โดยใช้คะแนน O – NET ภาคปลาย ม.5 รวมกับคะแนนสอบปลายภาคของ ม.6 ในการพิจารณาของมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันก็ควรส่งเสริมการวิจัยของสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อการสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ของประเทศ  รวมทั้งปรับแก้โครงสร้างองค์กรที่ยังไม่ลงตัวให้สอดคล้องกับภารกิจที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการทบทวนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เพียงพอ เป็นต้น
2.  เร่งรัดการพัฒนาครู โดยต้องให้ครูปรับวิธีสอนของตนเองที่เน้นคุณภาพมากขึ้นตามหลักครูดีของกระทรวงศึกษาธิการ คือ สอนเป็น เห็นผล คนยอมรับ ซึ่งผลงานของครูควรสัมพันธ์กับความมั่นคงในอาชีพ และครูต้องได้รับการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ “บัตรเครดิตเพื่อการพัฒนาตนเอง” ที่ครูจะใช้สำหรับขอเข้ารับการอบรมตามมาตรฐานการทำงานของครู 3 ด้าน คือ มาตรฐานความรู้และประสบการณ์ มาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน ภายในระยะเวลาที่กำหนด  นอกจากนี้ต้องเปิดโอกาสให้คนเก่งเข้ามาเป็นครู โดยมีระบบการคัดเลือกที่เหมาะสม รวมทั้งการพัฒนาให้คนพร้อมจะเป็นครู โดยใช้ระบบที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ เป็นผู้กำหนดนโยบายและมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงศึกษาธิการ
3.  เร่งฟื้นฟูบทบาทของสังคม โดยเฉพาะบทบาทของพ่อแม่ที่ต้องช่วยดูแลเอาใจใส่การศึกษาของบุตรหลานคู่ขนานไปกับโรงเรียน และต้องเพิ่มบทบาทของสื่อมวลชนในการสร้างค่านิยมที่ถูกต้องของการเรียนรู้ โดยเฉพาะบทบาทในการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย ขณะเดียวกันหน่วยงานต่าง ๆ ก็ควรได้รับการกระตุ้นส่งเสริมให้จัดการศึกษาในรูปแบบต่างๆ แก่ประชาชน โดยเฉพาะการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย  นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้มีการจัดการศึกษาในรูปแบบการศึกษาทางเลือกให้มากขึ้น เพื่อเสนอทางเลือกทางการศึกษาที่เหมาะสมกับสภาพและความต้องการของผู้เรียนที่หลากหลาย
4.  เร่งระดมสรรพกำลังพร้อมกัน โดยเสนอให้มีคณะกรรมการการศึกษาจังหวัด หรือสภาการศึกษาจังหวัด ทำหน้าที่เป็นองค์กรกลางในการประสานการจัดการศึกษาในจังหวัด โดยเฉพาะแผนการพัฒนาคุณภาพคนแต่ละช่วงวัย และแต่ละประเภท รวมทั้งมีบทบาทในการระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา การส่งเสริมให้มีศูนย์การเรียนรู้ที่หลากหลาย และปรับปรุงค่าใช้จ่ายรายหัว โดยยึดหลักความเป็นธรรมมากกว่าเท่าเทียม และลดภาระของผู้ปกครอง อย่างแท้จริง และการจัดให้มีกองทุนส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาของภาคส่วนต่างๆ
5.  เร่งประกันอนาคตของผู้เรียน โดยจัดให้มีการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และสถานประกอบการโดยผ่านสมาคมวิชาชีพในการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับตำแหน่งงาน และรองรับระบบคุณวุฒิวิชาชีพที่จะให้ค่าตอบแทนตามความสามารถมากกว่าวุฒิการศึกษา รวมทั้ง การสนับสนุนให้ผู้จบการศึกษาเข้าถึงกองทุนตั้งตัวได้ของรัฐบาลอย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ต้องเพิ่มมาตรการป้องกันไม่ให้เด็กออกจากระบบการศึกษากลางคัน โดยเฉพาะช่วงรอยต่อ ม.3 ถึง ม.4 ที่เด็กต้องมีที่เรียนต่อทั้งสายสามัญและสายอาชีวศึกษา โดยเฉพาะการเพิ่มเงินอุดหนุนพิเศษให้แก่ผู้เรียนสายอาชีวศึกษาในสาขาที่ขาดแคลน
ทั้งนี้ ข้อเสนอเพื่อการเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาที่เสนอมานี้ ต้องการให้เป็นข้อเสนอเพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล และขอให้ยกระดับการดำเนินการปฏิรูปการศึกษาให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารก็ตาม
คณะนักศึกษา วปอ.54 

มือแฮกเกอร์จูงมือผู้ปกครอง ดอดพบ “ศศิธารา” ยันไม่มีเจตนาล้วงข้อมูล


ตามที่เว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) www.moe.go.th ถูกแฮกเกอร์มือดี เข้ามาป่วนเมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา  โดยเขียนข้อความไม่สุภาพทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ นั้น
ล่าสุดวันนี้(18 ก.ย.) น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)   เผยว่า  มือแฮกเกอร์มาขอเข้าพบเพราะเจ้าตัวไม่สบายใจกับการกระทำที่ได้แฮกเว็บไซต์กระทรวงและเจ้าตัวยังเป็นเยาวชนอยู่ ซึ่งเป็นเด็กที่เรียนเก่งมีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี ทั้งนี้จากการพูดคุยเด็กรายนี้ให้ข้อมูลว่าไม่ได้มีวัตถุประสงค์ร้ายที่จะเข้ามาขโมยข้อมูล แค่ต้องการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น  ภายหลังพอคิดได้ตั้งใจจะเข้ามาแก้ไขแต่ทำไม่ได้แล้วเพราะ ศธ.ได้ปิดเว็บไซต์ไปทำให้เด็กไม่สบายใจ สุดท้ายเจ้าตัวมาสารภาพกับผู้ปกครองขอให้พามาที่กระทรวงศึกษาฯ
 “มีหลายฝ่ายบอกให้ ศธ.แจ้งความดำเนินคดีกับมือแฮกเกอร์ แต่คิดไว้แต่แรกแล้วว่ามือแฮกเกอร์น่าจะเป็นเยาวชน ซึ่ง ศธ.ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะไปทำโทษรุนแรงเกินไปแก่เด็กและเยาวชน โดยให้เด็กชดใช้ความผิดด้วยการให้มาทำงานที่กระทรวงฯ ในด้านไอซีที ซึ่งเด็กก็ดีใจและยินดีที่จะมาทำงานให้โดยในวันจันทร์ที่ 24 กันยายนนี้ เด็กจะเข้ามาพบดิฉันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตั้งใจอยากจะให้เด็กทำงานที่เกี่ยวกับด้านฐานข้อมูล”น.ส.ศศิธารา กล่าวและว่า  อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ ศธ. ได้มีการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ความปลอดภัยมากขึ้นแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก

มหาวิทยาลัยไม่ปรับวันเปิดเทอม


ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้ข้อสรุปว่าจะไม่มีการปรับวันเปิดปิดภาคเรียนให้ตรงกับวันเปิดปิดภาคเรียนของสถาบันอุดมศึกษาตามที่มีมติจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศ(ทปอ.) ไปแล้วนั้น วันนี้(18ก.ย.)  รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า เนื่องจากกรณีดังกล่าว ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ขอความร่วมมือไปยังสถาบันอุดมศึกษาให้มีการปรับวันเปิดปิดภาคเรียนให้ตรงกันแล้ว ดังนั้นทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะทำการรวบรวมปฏิทินการรับสมัครสอบของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในปี 2557 เพื่อประกาศให้สาธารณชนรับรู้ต่อไป พร้อมกันนี้อยากให้แต่ละมหาวิทยาลัยแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะเปิดปิดภาคเรียนในช่วงใด โดยเฉพาะกลุ่มมหาวิทยาลัยที่เปิดปิดภาคเรียนตามเดิมนั้นจะมีนโยบายการรับนักศึกษาเข้าใหม่อย่างไร และอยากให้มหาวิทยาลัยพิจารณาดำเนินการโดยคำนึงถึงประโยชน์ประโยชน์ของประเทศชาติ และประโยชน์ตัวนักศึกษาและผู้ปกครองเป็นที่ตั้ง
“สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือเรื่องการวิ่งรอกสอบ ดังนั้นหากมหาวิทยาลัยเปิดปิดภาคเรียนไม่ตรงกัน ก็ควรแสดงจุดยืนของตัวเอง ในส่วนของ สพฐ.ที่ไม่ปรับวันเปิดปิดภาคเรียน ก็เท่ากับว่าทำให้เด็กอยู่ในชั้นเรียนเต็มเวลามากขึ้นและไม่ต้องไปกวดวิชา ในส่วนของโรงเรียนสาธิตนั้นขึ้นอยู่นโยบายแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นผู้กำหนดว่าจะเปิดปิดภาคเรียนอย่างไร ” รศ.นพ.กำจร กล่าว

นายกฯสั่งโยก ศศิธารา นั่ง เลขาสกศ.


วันนี้ ( 19 ก.ย.) ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช  รมว.ศึกษาธิการ  กล่าวถึงกรณีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่แต่งตั้งโยกย้ายให้ นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ อดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ แทน ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ที่โยกย้ายไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา ว่า  เรื่องนี้ได้สอบถามจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเป็นความเห็นร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและตน ที่มีการขอปรับเปลี่ยนตำแหน่งดังกล่าว
"เป็นการโยกย้ายตามปกติ เพราะได้ย้าย ดร.ศศิธารา ไปในตำแหน่งที่ว่าง เนื่องจาก ดร.เอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ อดีตเลขาธิการสภาการศึกษา ได้ลาออกจากตำแหน่งไปจึงทำให้ตำแหน่งดังกล่าวว่างลง สำหรับตนไม่มีความเห็นและยืนยันเป็นความเห็นร่วมกันระหว่างตนและนายกรัฐมนตรี  ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ให้เหตุผลการโยกย้ายครั้งนี้แต่อย่างใด" ศ.ดร.สุชาติ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า  นายกรัฐมนตรีได้เห็นเรื่องร้องเรียนกรณีสื่อมวลชนสายการศึกษา ยื่นเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ ศ.ดร.สุชาติ ในการให้ข่าวแก่สื่อมวลชนแต่ละครั้งนั้น เกิดกระแสวิจารณ์ในวงการและมักโยนความผิดให้สื่อมวลชนว่านำเสนอข่าวบิดเบือน ศ.ดร.สุชาติ กล่าวว่า    เรื่องนี้ยังไม่ได้คุย และยังไม่เจอนายกรัฐมนตรีเลย

จับสลากครูมืออาชีพกลางเดือน ต.ค.นี้


วันนี้( 19 ก.ย.) ท.พญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการคัดเลือกสถาบันฝ่ายผลิตและนักศึกษาทุนโครงการผลิตครูมืออาชีพ เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการผลิตครูมืออาชีพขณะนี้ คณะกรรมการฯ ได้สรุปยอดผู้สมัครในโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 2,323 คน จาก 89 สถาบันอุดมศึกษา โดยวันที่ 24 ก.ย.นี้ จะทำการประกาศรายชื่อนิสิต นักศึกษาที่สมัครเข้าร่วมโครงการผลิตครูมืออาชีพและมีสิทธิ์จับสลาก ผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) www.mua.go.th เบื้องต้นคาดว่าจะจัดให้มีการจับสลากในช่วงวันที่ 17-19 ต.ค.55 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต โดยกำหนดวันที่ชัดเจนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้การจับสลากจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 829 คน ตามอัตราว่างที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอชีวศึกษา (สอศ.) จัดสรรมาให้สำหรับการบรรจุนิสิต นักศึกษากลุ่มนี้ แบ่งเป็น สพฐ. 750 อัตรา และ สอศ. 79 อัตรา
"ขณะนี้เด็กทุกคนได้เลือกไว้แล้วว่าแต่ละคนต้องการจะบรรจุในสาขา และพื้นที่ใด ซึ่งหากสาขาใดมีผู้สมัครเกินกว่าอัตราว่างที่จัดสรรมาให้ ก็จะต้องมีการจับสลาก เพราะวิธีนี้จะเป็นวิธีการที่โปร่งใสที่สุด และเป็นธรรมกับเด็กทุกคน อีกทั้งมั่นใจว่าวิธีนี้จะไม่มีการร้องเรียนอย่างแน่นอน สำหรับการจับสลากนั้นจะทำให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียว และจะมีการตั้งโต๊ะรับร้องเรียนด้วย หากนักศึกษาคนใดคิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องใด ก็สามารถร้องเรียนได้เลย เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาให้เสร็จสิ้น เพราะเราได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทำให้โครงการผลิตครูมืออาชีพมีการร้องเรียนเป็นศูนย์" ท.พญ.ศรีญาดา กล่าว

จ้าหน้าที่ลอบขนเอกสารออกจากม.อีสาน


วันนี้( 19 ก.ย.) ร.ต.อ.ณัฐวุฒิ ถาภักดี พงส. (สบ 1) สภ.ย่อยบ้านทุ่ม จ.ขอนแก่น  รับแจ้งจากนางจรรยา แสวงการ อายุ 70 ปี ผู้ได้รับใบอนุญาตมหาวิทยาลัยอีสาน  ว่า ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ ม.อีสาน พากันขนย้ายเอกสารหลายอย่างสำหรับนักศึกษาปริญญาตรีใน ม.อีสาน ที่รอจบการศึกษาใน ม.อีสาน ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบและจับตัวพนักงานที่ขนย้ายเอกสารของม.อีสานด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ไปที่หน้าสำนักงานอธิการบดี ม.อีสาน พบกับเจ้าหน้าที่สำนักทะเบียนกำลังขนย้ายเอกสารหลายอย่างขึ้นไว้บนรถกระบะนิสสัน สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กบ – 6629 ขอนแก่น และรถเก๋งเชฟโรเล็ต สีดำ ทะเบียน กท – 5176 ขอนแก่น เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ที่ขนย้ายเอกสาร 3 – 4 คน มาสอบสวนปากคำที่ สภ.ย่อยบ้านทุ่ม
 
ในการตรวจค้นรถทั้งสองคันที่ได้ขนเอกสารไว้ในรถขณะกำลังออกจาก ม.อีสาน พบว่า มีจำนวน 13 ลัง ซึ่งมี  ใบปริญญาบัตรที่ยังไม่ได้ลงผลการเรียน  ตราประทับซองมหาวิทยาลัยอีสาน  ตราประทับปั้มนูนในรายการผลการศึกษา และเอกสารหลายอย่างสำหรับนักศึกษาที่ศึกษาอยู่ใน ม.อีสาน และยังไม่ได้ลงผลการเรียนที่รอจบการศึกษาปริญญาบัตร ม.อีสาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำเอกสารทั้งหมดมาเก็บไว้ที่ห้องพนักงานสอบสวน สภ.ย่อยบ้านทุ่ม พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าเวรเฝ้าดูเอกสารทั้งหมดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้มีการลักขโมยหรือสูญหายอย่างเด็ดขาด
 
ร.ต.อ.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่ทั้งหมดแล้ว ซึ่งต่างอ้างว่าได้รับคำสั่งมาจาก อธิการบดี ม.อีสาน ว่า ให้มีการขนย้ายเอกสารดังกล่าวออกจาก ม.อีสานไปเก็บไว้ในที่เหมาะสมที่สุด เพื่อป้องกันการมีคนร้ายมาขโมย หรือทำลายเอกสารทั้งหมดจนเกิดความเสียหาย ขณะนี้จึงทำได้เพียงปล่อยตัวทั้งหมดไปก่อน  และจะเรียก อธิการบดี ม.อีสานมาสอบปากคำ ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้แจ้งข้อหา เพียงแต่ลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานตามที่ผู้ได้รับใบอนุญาต ม.อีสานมีความประสงค์ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อรักษาทรัพย์สินเอกสารดังกล่าวไว้ ณ สถานที่อันปลอดภัย  เพื่อรอผลการตรวจข้อเท็จจริงในการขนย้ายเอกสารดังกล่าวออกจาก ม.อีสานว่าเป็นประการใด ตอนนี้เอกสารดังกล่าวจะต้องเก็บรักษาไว้ที่ สภ.ย่อยบ้านทุ่ม ต่อไป.

วอนรัฐอย่ามองม.วิจัยเป็นแค่เทศกาล





มหาวิทยาลัยวิจัยครวญ ถูกตัดงบฯสาหัส จน ทำงานลำบาก วอนรัฐเข้าใจงานวิจัยต้องใช้เวลา อย่ามองแค่ปริมาณ ขอดูคุณภาพ และสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เป็นแค่เทศกาล
จากการเสวนา" 3 ปี โครงการมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติกับก้าวต่อไปของการพัฒนา" จัดโดยสถาบันวิทยาการขั้นสูงแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์  เซ็นทรัล พลาซ่า   รศ.ดร.ชวนี  ทองโรจน์  ที่ปรึกษาด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) กล่าวว่า   สกอ.เข้าใจถึงปัญหาของมหาวิทยาลัยวิจัย  และรู้ว่าการลงทุนทำงานวิจัยนั้นไม่สามารถที่จะเนรมิตให้เห็นผลได้ทันที   แม้ไม่เห็นผลเรื่องของปริมาณหรือชิ้นงาน  แต่อย่างน้อยควรเห็นผลเรื่องของคุณภาพงานวิจัยที่จะสามารถนำไปพัฒนาประเทศได้  ซึ่งการทำวิจัยนั้นอยากให้มหาวิทยาลัยวิจัยทำงานร่วมกันหน่วยงานอื่นๆ มากขึ้นด้วย    
ขณะนี้สกอ.กำลังสรุปผลการดำเนินงานและผลงานของมหาวิทยาลัยวิจัยทั้งหมด  เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลให้เห็นความสำคัญของงานวิจัย พร้อมใช่เป็นข้อมูลเสนอของบฯเพิ่มเติมในปีงบฯ 2557  ที่เหลืออีก 1,667 ล้านบาท  จากที่มีการตั้งงบฯมหาวิทยาลัยวิจัย  ปี  2554-2556 จำนวน 5,000 ล้านบาท   ปี 2554 ได้รับ 2,000 ล้านบาท ปี 2555 ได้รับ 833 ล้านบท และปี 2556 ได้รับ เพียง500 ล้านบาท   อย่างไรก็ตามสกอ.ยืนยันจะเดินหน้ามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติต่อไป เพราะเห็นความสำคัญของงานวิจัย  และทุกประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องงานวิจัยเช่นกัน แต่ถ้าประเทศไหนไม่สนใจถือว่าล้าหลัง

ศ.ดร.วิชัย บุญแสง  ผอ.โครงการส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษาและการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยวิจัย  9 แห่ง  เกิดโครงการวิจัยต่าง ๆ 900 โครงการ  ทำให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยสามารถสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ   ส่วนงานวิจัยนั้นไม่ใช่ว่าจะเห็นผลได้ภายใน1-3 ปี แต่ต้องใช้ระยะเวลา และทำกันอย่างต่อเนื่อง  

ด้าน ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์   รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย  ม.มหิดล  กล่าวว่า  การวัดผลลัพธ์จากการลงทุนวิจัย ว่า 1 ปีได้อะไรบ้าง เป็นเรื่องยาก  แต่ผลวิจัยถือว่าคุ้มค่า   ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมางบฯมหาวิทยาลัยวิจัยถูกตัดอย่างสาหัส จนทำให้มหาวิทยาลัยวิจัยทำงานลำบาก  แต่เราต้องเดินหน้าและเอาเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยมาช่วย

ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ  รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและการถ่ายทอดเทคโนโลยี   ม.ขอนแก่น  กล่าวว่า  ผลของมหาวิทยาลัยวิจัยทำให้เกิดการร่วมมือกันของนักวิจัยมากขึ้น  เกิดการทำงานวิจัยชิ้นใหญ่ และช่วยแก้ปัญหาของประเทศชาติได้มาก  ดังนั้นควรมีโครงการมหาวิทยาลัยต่อไป

ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช  ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการและวิจัย  ม.ธรรมศาสตร์   กล่าวว่า งบฯโครงการมหาวิทยาลัยวิจัยเป็นเพียงการหล่อลื่นเกิดงานวิจัย   แต่มหาวิทยาลัยต้องทุ่มเทงบฯหรือยืนด้วยตนเอง  เพื่อเกิดงานวิจัยที่มีคุณภาพ และนำมาใช้เกิดประโยชน์ได้จริง ๆ  

ผู้สื่อข่าวรายงานงาน  ในการเสวนาครั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการวิจัยมากขึ้น และผลักดันให้มีโครงการมหาวิทยาลัยวิจัยต่อไป   เพราะทำให้เกิดการกระตุ้นหรือจุดประกายให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้ทำวิจัยมากขึ้น  และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ   นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้ลงทุนการวิจัยอย่างต่อเนื่อง และต้องไม่จัดโครงการมหาวิทยาลัยวิจัยเป็นเหมือนเทศกาล เพราะถ้าเป็นเทศกาลแล้ว 2-3 ปีจะเลิกไปเหมือนกับหลาย ๆโครงการ

ฮัจย์55หัวหมอขอวีซ่านอกระบบกว่า800รายเกินโควตาไทย




ฮัจย์ปี 55 เจอปัญหา ผู้ประกอบการหัวหมอขอวีซ่านอกระบบกว่า 800 ราย กระทบออกวีซ่าโควตาของไทย ศน.เร่งประสานสถานทูตซาอุฯแก้ปัญหาคนในระบบต้องครบ 13,000 คน พร้อมแจ้งดำเนินคดีอาญา 3 บริษัทละเมิดกฎหมายทำประเทศเสียชื่อเสียง
วันนี้ (24 ก.ย.) นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.) เปิดเผยว่า จากการที่ศน.ได้ส่งพี่น้องชาวไทยมุสลิมไปประกอบพิธีฮัจย์อย่างเป็นที่ทางการที่ สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อเร็วๆนี้ พบปัญหาเกี่ยวกับผู้แสวงบุญที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์โดยส่วนตัวไม่ผ่านระบบของทาง ศน. 4 คน ในขณะเดียวกัน ศน.ยังได้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากทางสถานทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย พบว่า มี3 บริษัท ยื่นวีซ่านอกระบบโดยไม่ผ่าน ศน.และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย  807 คน  ศน.กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับบริษัทเหล่านี้ ถือว่ากระทำผิดพ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. 2524 มาตรา 17 ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข มาตรการที่ออกตามมาตรา11 (2) ต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท และอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต และถือเป็นกลุ่มที่ทำให้การไปประกอบพิธีฮัจย์ของพี่น้องมุสลิมมีปัญหา และทำให้ได้รับการตำหนิจากทางการซาอุดิอาระเบีย
 
นายปรีชา กล่าวต่อว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้การออกวีซ่าเกิดความล่าช้า โดย ศน.ได้ประสานกับทางสถานทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย  เพื่อแจ้งต่อสถานทูตว่า บริษัทดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ประกอบกิจการฮัจย์ในเทศการฮัจย์ประจำปี 2555 และไม่มีผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในสังกัดที่อยู่ในโควตาระบบการลงทะเบียนของทางราชการในปีนี้ อย่างไรก็ตาม รศ.อิสมาแอ อาลี อะมีรุ้ลฮัจย์ประจำปี 2555 ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้แสวงบุญ พร้อมด้วยนายจรูญ นราคร รองอธิบดีศน. นายพรชัย เพชรทองคำ ผู้ทรงคุณวุฒิ นายเปายี แวสะแม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าเจรจาต่อสถานทูตถึงปัญหาดังกล่าวในการหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้การออกวีซ่าดำเนินการต่อไปได้ โดยขณะนี้ผู้แสวงบุญได้รับวีซ่าแล้ว 12,519คนจาก 13,000 คน คงเหลือโควตาอีก 481 คน เป็นโควตาที่ผู้ประกอบการบางรายยื่นเอกสารและหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่ทันตามกำหนดเวลา
อธิบดีศน. กล่าวต่อไปว่า สำหรับบริษัทที่มีปัญหาและอยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขมี 9 บริษัท ในจำนวนนี้มี 6 บริษัท  เป็นบริษัทที่เพิ่งได้รับโควตาใหม่ ประกอบด้วย  1.หจก.ฮัจยียา เทรเวลเซอร์วิส 2.หจก.อัล-อะมาน ทัวร์ 3.หจก.อัสลัม ทราเวล 4.หจก.ไซย์ดี้ย์ เอกซ์เพรส   5.หจก.เอส.ที อาราเบียน และ6.หจก.นาทวีบิสเน็ท แอนด์ ทรา ส่วนอีก 3 บริษัท คือ 1.หจก.อัลนูรอยน์ เทรเวิล  2.หจก.อาบูบัซซาม แอนด์อัลเกาซัรฮัจย์ เซอร์วิส และ3.หจก.เอ็ม เจ เซอร์วิส ได้ยื่นเอกสารและหลักทรัพย์ค้ำประกันเลยเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ศน.ยังพบปัญหาที่จ.ภูเก็ตมีผู้แสวงบุญ 13 คนไม่มีวีซ่า เกิดจากความผิดพลาดของบริษัทที่ไม่มีเอกสารตามระเบียบ ทางศน.จึงเร่งคลี่คลายปัญหานี้ด้วย
ด้านนายจรูญ นราคร รองอธิบดีศน. กล่าวว่า ตอนนี้สรุปโควตาประเทศไทยเกินกว่า 13,000 ราย เนื่องจากมีวีซ่านอกระบบถึงกว่า 800 ราย ตนได้รายงานปัญหาที่เกิดขึ้นต่อนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรีแล้ว พร้อมให้ศน.ช่วยประสานสถานทูต เพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมมอบหมายสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสงขลาแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่งกับบริษัทที่สร้างความเสียหายแล้ว
นอกจากนี้ยังได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของศน.ที่อยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ต้องให้สิทธิอยู่ประจำมักตับหรือที่พักผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางอย่างถูกต้องให้เรียบร้อยเสียก่อน เพื่อไม่ให้ผู้ที่เดินทางนอกระบบไปสร้างผลกระทบต่อที่พักของผู้ที่เดินทางอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นศน.จะหารือกับคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย เพื่อหามาตรการป้องกันปัญหานี้ไม่ให้เกิดในปีหน้าอีก และจะต้องลงโทษผู้ประกอบการที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างเด็ดขาด..

เครือข่ายภาคปชช.ร้องกองทุนสื่อปลอดภัยถูกฮุบ




เครือข่ายภาคประชาชนร้อง กองทุนสื่อปลอดภัยฯ ถูกวธ.ฮุบ อ้างรัฐบาลเร่งนำเข้าสภา ไม่ให้ปชช.มีส่วนร่วมเป็นกรรมธิการใช้ประโยชน์กองทุน ด้าน วธ.ออกโรงโต้ทุกขั้นตอน
วันนี้ (24 ก.ย.) น.ส.เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการแผนงาน สื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ในฐานะผู้แทนเครือข่ายในการเสนอร่างกฎหมายภาคประชาชน เกี่ยวกับสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดเผยว่า  ตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ มาตรา 52(5) กำหนดให้ สำนักงานคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต้องจัดสรรเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนา มาสนับสนุนกฎหมายกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งต้องมี พ.ร.บ.กองทุนสื่อมารองรับ เพื่อให้มีการสร้างสรรค์สื่อที่มีคุณภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อเด็กและเยาวชน นั้น ทราบว่าวันที่ 26 ก.ย.  นี้ ร่างพ.ร.บ. กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่เป็นร่างฯของรัฐบาลจะถูกผลักดันขึ้นเป็นเรื่องด่วนโดยกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)แบบปิดประตูตีแมว  ไม่ให้โอกาสร่างฯ ของภาคประชาชนเข้าประกบ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เห็นได้ชัดว่าเป็นการปิดโอกาสไม่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของกองทุนนี้
น.ส. เข็มพร กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายประชาชนอยู่ในขั้นตอนตรวจรายชื่อตามขั้นตอนการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย  เป็นไปตามสิทธิที่ระบุในรัฐธรรมนูญ การที่นำร่างพ.ร.บ.ภาคประชาชน มาประกบกับร่างรัฐบาลเพื่อพิจารณาร่วมกันจะทำให้ กฎหมายนี้สมบูรณ์ขึ้น นอกจากนั้น ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาเป็นกรรมาธิการร่วม เพื่อนำมาซึ่งการใช้กองทุนนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของสาธารณะ
ทั้งนี้หลายประเทศทั่วโลกได้จัดตั้งกองทุนที่เป็นอิสระให้มีความคล่องตัว ให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ง่าย โดยสนับสนุนโดยรัฐ  แต่รัฐบาลไทยกลับจะเอากองทุนนี้กลับไปอยู่ภายใต้ระบบราชการกระทรวงเดียว คือ กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเราก็มีบทเรียนมามากแล้วว่ากองทุนที่อยู่ภายใต้ราชการก็จะมีข้อจำกัดมากมาย และมีมุมมองที่คับแคบในเรื่องสื่อ  และเห็นได้จากร่างของกระทรวงวัฒนธรรมที่กำลังจะเข้าพิจารณานี้ มีลักษณะที่จะจับผิดสื่อมากกว่าการสร้างมุมมองและจินตนาการใหม่ๆ ให้ภาคประชาชน โดยให้กรรมการกองทุนมีอำนาจ ออกกำหนดว่าสื่อใดไม่ปลอดภัยไม่สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นอำนาจที่ซ้ำซ้อนกับกสทช.

น.ส. ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและยุทธศาสตร์  กระทรวงวัฒนธรรม  กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ น.ส. เข็มพร ได้ไปยื่นหนังสือต่อคณะอนุกรรมการการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ว่า อยากเสนอรายชื่อ ของประชาชน 10,000 รายชื่อ เพื่อยับยั้ง พ.ร.บ. กองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ ซึ่งเสนอโดยกระทรวงวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการฯ มีหนังสือมายังกระทรวงวัฒนธรรม และตน ได้เข้าไปชี้แจง ว่า การที่ น.ส. เข็มพร เสนอว่า กฎหมายยังไม่มีความเรียบร้อย และกรณีที่บอกว่าภาคประชาสังคมไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ไม่เป็นข้อเท็จจริง เพราะร่างกฎหมายดังกล่าว ได้ผ่านการกลั่นกรองจากกระทรวงการคลัง โดยมีหลักฐานชัดเจนว่า มีการดำเนินการร่วมกับภาคประชาชนมาตั้งแต่แรก 
นอกจากนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ในสมัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  มาเป็นรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการทบทวนกฎหมาย เพื่อให้เดินหน้าต่อ เพราะรัฐบาล เห็นว่ากฎหมายดังกล่าวมีความจำเป็น จึงผลักดันให้เป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ได้เป็นการปิดประตูตีแมว ตามที่ น.ส. เข็มพร กล่าวหา  ที่สำคัญการทำงานของ วธ. ก็ทำงานไม่เคยมีการเผด็จการ แต่มีความโปร่งใสและชัดเจนมาโดยตลอด..

แบ่งเขตปกครอง “ธรรมยุต” ใหม่




วันนี้ (24 ก.ย.) นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ที่ประชุมมหาเถรสมาคม(มส.)เมื่อเร็วๆนี้ มีมติแบ่งเขตการปกครองคณะสงฆ์ธรรมยุตใหม่ โดยในเขตปกครองภาค 1-2-3 และ 12-13 ทางสมเด็จพระธีรญาณมุนี กรรมการมส. และเจ้าคณะภาค 1-2-3 และ12-13 เสนอว่า จ.ลพบุรี-สระบุรี  จ.สิงห์บุรี- อุทัยธานี-ชัยนาท และจ.นครนายก-ฉะเชิงเทรา มีวัดและที่พักสงฆ์เพิ่มขึ้น สมควรแบ่งเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดเป็น 6จังหวัด เพื่อความสะดวกในการปกครองคณะสงฆ์ ดังนี้ 1.จ.สระบุรี 2.จ.ลพบุรี 3.จ.สิงห์บุรี 4.จ.ชัยนาท-อุทัยธานี 5.จ.นครนายก 6.จ.ฉะเชิงเทรา
ขณะที่พระพรหมเมธี กรรมการมส. เจ้าคณะภาค4-5-6-7 เสนอว่าจ.ตาก-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-สุโขทัย-พิจิตร-กำแพงเพชร และจ.ลำปาง-แพร่-น่าน-พะเยา-เชียงราย มีวัดและที่พักสงฆ์เพิ่มขึ้น จึงควรแบ่งเขตการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดเป็น 6 จังหวัด เพื่อความสะดวกในการปกครองคณะสงฆ์  ดังนี้ 1.จ.กำแพงเพชร-พิจิตร 2.จ.พิษณุโลก-อุตรดิตถ์ 3.จ.สุโขทัย-ตาก 4.จ.ลำปาง-แพร่ 5.จ.พะเยา-น่าน และ 6.จ.เชียงราย
ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน พระพรหมมุนี กรรมการมส. และเจ้าคณะภาค 14-15 เสนอว่า จ.นครปฐม-กาญจนบุรี-สุพรรณบุรี มีวัดและที่พักสงฆ์เพิ่มขึ้น สมควรแบ่งเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดเป็น 2 จังหวัด เพื่อความสะดวกในการปกครองคณะสงฆ์  ดังนี้ 1จ.นครปฐม-สุพรรณบุรี 2.จ.กาญจนบุรี อย่างไรก็ตามหลังจากมส.ได้เห็นชอบตามข้อเสนอการแบ่งเขตการปกครองคณะสงฆ์คณะธรรมยุตแล้ว จากนั้นจะมีการออกเป็นแถลงการณ์คณะสงฆ์เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป.. 

พนักงานมหาวิทยาลัยเฮ!ได้เงินเดือน1.5หมื่นบาท


วันนี้ (24 ก.ย.) นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.).เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆตนได้ลงนามในหนังสือเวียนและแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ เรื่องการขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อการเบิกจ่ายค่าครองชีพชั่วคราวของพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินตามนโยบายรัฐบาลที่ให้กับผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน  เนื่องจากที่ผ่านมาสำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)  โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.)เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2555 ซึ่งเป็นงบกลาง ให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยวงเงิน 305,150,678 บาท ให้กับมหาวิทยาลัยทั้ง79 แห่ง จำนวน 13,709คน  
นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า ส่วนมหาวิทยาลัยที่ได้รับงบประมาณมีดังนี้มหาวิทยาลยราชภัฏ 40  แห่ง วงเงิน 119,050,165.00 บาท  4,584 คน มหาวิทยลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9  แห่ง  วงเงิน 32,694,640.00บาท   1,466คน มหาวิทยาลัยส่วนราชการ 16แห่ง วงเงิน 92,187,099.00บาท  4,889 คน และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ14 แห่ง วงเงิน 61,218,774.00บาท  2,770คน
ทั้งนี้พนักงานมหาวิทยาลัยจะได้เงินย้อนหลังตั้งแต่วันที่1ม.ค. -30 ก.ย. 2555 อย่างไรก็ตามเงินที่ได้ครั้งนี้จะเป็นเงินของพนักงานมหาวิทยาลัยที่ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจ้างเท่านั้น ส่วนพนักงานมหาวิทยาลัยที่ใช้เงินรายได้ของมหาวิทยาลัยจ้างนั้น ทางมหาวิทยาลัยต่างๆคงจะต้องใช้เงินตนเองในการเพิ่มเงินเดือน15,000บาทเอง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ..

วชช. ร่วมพลิกฟื้นค่านิยมไทยที่ดีงามให้กลับคืนมา






หากพูดถึงความเป็นไทยในอดีตแล้วมีสิ่งที่มีคุณค่าอยู่มากมายมหาศาล ทั้งด้านภูมิประเทศที่เหมาะกับการทำมาหากินจนได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าว อู่น้ำของโลก” มีความอุดมสมบูรณ์ในทรัพยากรธรรมชาติ มีวิถีชีวิตและมรดกอันล้ำค่าทางวัฒนธรรมอันหาประเทศใดเทียบมิได้ ประเทศไทยในอดีตจึงเป็น “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” ให้กับคนในชาติได้อยู่อย่างมีความสุข แต่เมื่อถึงโลกยุคการสื่อสารไร้พรมแดน วัฒนธรรมต่างชาติและเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต แต่การพัฒนาคนในชาติให้มีความพร้อมรับกับวิวัฒนาการดังกล่าวได้อย่างมีวิจารณญาณนั้น เกิดขึ้นได้น้อยมาก ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าสู่โลกยุคใหม่อย่างหลงทางจนเกิดค่านิยมผิดเพี้ยนจากความเป็นไทยที่ดีงามไป โดยเห็นความร่ำรวยเงินทองและวัตถุมีค่ามากกว่าการร่ำรวยด้านจิตใจและชีวิตที่มีความสุข เมื่อค่านิยมเป็นไปเช่นนี้ การแก่งแย่งแข่งขัน เอารัดเอาเปรียบเห็นประโยชน์แก่ตนเอง รวมถึงการละทิ้งครอบครัว ถิ่นฐานไปแออัดทำมาหากินในเมืองใหญ่จึงเกิดขึ้น เวลาของชีวิตส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการแข่งขันสร้างฐานะทำให้ชีวิตขาดความสุข เกิดความตกต่ำทางด้านจิตใจ ด้วยพฤติกรรมฟุ้งเฟ้อ วัตถุนิยม พฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของไทย ชอบเป็นผู้รับมากกว่าเป็นผู้ให้ หรือแม้แต่การพัฒนาด้วยการศึกษาก็ยังหวังแค่ปริญญาแต่ไม่มีทักษะการทำงาน ขาดทักษะชีวิต จึงขาดเกราะที่จะทำให้วิถีชีวิตปลอดภัยจากสิ่งรอบข้าง วิถีชีวิตที่จะทำให้มีความสุขที่แท้จริงจึงไม่ค่อยเกิดขึ้น สังคมและประเทศชาติก็พลอยเกิดปัญหาตามมามากมาย
จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายน่าจะต้องให้ความสำคัญกับการนำค่านิยมที่ดีงามให้กลับคืนมาสู่ความเป็นไทยอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เอาเสียเลย เพียงแต่ขอให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะผู้คนในชาติ มองเห็นคุณค่าสิ่งที่ดีงามของไทยที่มีอยู่แล้วนำมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความสุขของชีวิตให้ถึงแก่นแท้เช่นในอดีตที่ผ่านมาได้บ้าง ก็เชื่อว่าการพลิกฟื้นค่านิยมไทยให้กลับคืนมาก็น่าจะไปถึงฝันได้ไม่ยาก ที่ว่าเช่นนี้ก็ด้วยเห็นตัวอย่างความสำเร็จที่เกิดขึ้นบ้างแล้วจากการดำเนินงานของ “วิทยาลัยชุมชน”(วชช.) ที่ได้ร่วมมือกับเครือข่าย ภาคี และผู้นำท้องถิ่นพัฒนาชุมชนจนเกิดความเข้มแข็งสามารถยืนอยู่ด้วยตนเองได้ โดยการนำจุดเด่นของท้องถิ่นที่มีอยู่ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมและวิถีชีวิต ใช้เป็นศูนย์รวมจิตใจของการพัฒนา ทั้งด้านความรู้  ความเข้าใจจนเกิดจิตสำนึกเห็นคุณค่าในเอกลักษณ์อันดีงามของท้องถิ่น และใช้จุดเด่นที่ว่านี้พัฒนาด้านสัมมาอาชีพให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย จากการพัฒนาตามแนวทางที่ว่านี้ วิทยาลัยชุมชน ได้ดำเนินการจนเกิดผลเป็นรูปธรรมไปแล้วในหลายพื้นที่ที่มีวิทยาลัยชุมชนอยู่ ในครั้งนี้จึงจะขอนำมาเสนอให้เห็นเป็นเพียงบางพื้นที่ ดังนี้
ชุมชนชายขอบจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ความอุดมสมบูรณ์งดงามของธรรมชาติ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม ตามวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอยู่ถึง 11 เผ่า กลายเป็นแหล่งดึงดูดผู้คนทั้งในและต่างประเทศให้ไปท่องเที่ยวชมความงดงามและคุณค่าที่มีอยู่ตลอดทั้งปี แต่ประโยชน์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะรายได้ส่วนใหญ่จะไปตกอยู่กับนักธุรกิจต่างถิ่น ส่วนคนในพื้นที่ที่ต้องเฝ้าดูแลธรรมชาติและเป็นเจ้าของวัฒนธรรมจะได้รับประโยชน์น้อยมาก และยิ่งเกิดธุรกิจท่องเที่ยวขนาดใหญ่มากขึ้นสิ่งปลูกสร้างที่จะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติก็เกิดขึ้นตามมา ทำให้ความเป็นธรรมชาติรวมถึงวิถีชีวิตผู้คนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไป เกิดค่านิยมใหม่ ๆ ตามมา วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอนจึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายสร้างทั้งองค์ความรู้ ให้เกิดความเข้าใจ เห็นคุณค่าในสิ่งที่ท้องถิ่นมีอยู่พร้อมส่งเสริมเติมเต็มในทักษะอาชีพจนเกิดมูลค่าเพิ่ม จากการให้ความรู้และพาทำ ด้วยการสร้างมัคคุเทศก์น้อย การวางแผนจัดการท่องเที่ยว ให้ความรู้ด้านการตลาด การคิดคำนวณหาต้นทุน กำไร พร้อมพัฒนารูปแบบการนำเสนอในวัฒนธรรม ผ่านกิจกรรมการแสดง การจัดโฮมสเตย์  และศูนย์ท่องเที่ยวของชุมชน ทำให้ผู้มาเยี่ยมชมได้รับการซึมซับคุณค่าทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชนแต่ละเผ่าถึงแก่นแท้ ทำให้อยากจะหวนกลับมาท่องเที่ยวอีก ส่วนนี้คนในพื้นที่เองก็ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรง คือ เกิดอาชีพที่สามารถสร้างรายได้มากขึ้นและทางอ้อมทำให้ลูกหลานเกิดความตระหนักเห็นคุณค่าพร้อมที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสืบสานวัฒนธรรมชนเผ่าของตนเองให้ธำรงอยู่อย่างยั่งยืน ส่วนชุมชนก็มีความเข้มแข็งเกิดขึ้นตามมาหรือกรณีของวิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร ที่ได้เข้าไปร่วมพลิกฟื้นวิถีชีวิตของชนเผ่าย้อและเผ่ากะเลิง ที่กำลังถูกสังคมยุคใหม่กลืนหายไป ด้วยปัจจุบันมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่ครอบครัว ซึ่งชนเผ่าทั้งสองนี้มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย มีวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เด่นเฉพาะ อาทิ ชนเผ่าย้อ จะใช้ข้อง เป็นเครื่องมือเสี่ยงทายเพื่อหาสิ่งที่สูญหาย  ชนเผ่ากะเลิง ใช้วิธีฟ้อนผีหมอ รักษาโรค เป็นต้น ซึ่งวิถีชีวิตและความเชื่อที่สืบทอดกันมายาวนานนี้ เมื่อถึงปัจจุบันแม้แต่ลูกหลานของชนเผ่าย้อและเผ่ากะเลิง ก็แทบไม่รู้วัฒนธรรมของตนเองไปแล้ว เมื่อวิทยาลัยชุมชนมุกดาหารร่วมกับภาคีเครือข่ายเข้าไปสร้างความตระหนักส่งเสริมเติมเต็มในทุกด้านให้แล้ว ชนเผ่าดังกล่าวสามารถนำเอกลักษณ์โดดเด่นที่มีมาดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและบูรณาการวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตนเองให้เกิดเป็นอาชีพ โดยจังหวัดมุกดาหารได้จัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดแห่งหนึ่งด้วย ทำให้ชนเผ่าทั้งสองมีรายได้จากการแสดงออกทางวัฒนธรรม และค้าขายของที่ระลึก สามารถดำรงชีวิตอยู่ในท้องถิ่นอย่างมีความสุขตัวอย่างของ “ชุมชนชายฝั่งตันหยงเปาว์” จังหวัดปัตตานี ที่ได้อาศัยทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลทำอาชีพประมงมาตั้งแต่อดีต ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเลทำให้ผู้คนในท้องถิ่น ครอบครัว สังคมอยู่กันอย่างมีความสุขสมานฉันท์ แต่เมื่อเกิดธุรกิจประมงขนาดใหญ่โดยไม่คำนึงถึงระบบนิเวศวิทยา ทำให้ทรัพยากรทางทะเลลดน้อยลง การประมงของคนในพื้นที่จึงมีความยากลำบากมากขึ้น ปริมาณรายได้ลดน้อยลงไม่คุ้มค่ากับการลงทุนและไม่พอเพียงกับการดำเนินชีวิต วิทยาลัยชุมชนจังหวัดปัตตานี จึงร่วมกับทุกภาคส่วนและผู้นำชุมชนร่วมปลูกฝัง สร้างความตระหนักให้เห็นคุณค่าทรัพยากรที่มีอยู่ จนเกิดการรวมกลุ่มเพื่อเฝ้าระวังทรัพยากรธรรมชาติชายฝั่งทะเลของชุมชน พร้อมทั้งร่วมฟื้นฟูให้ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาด้วยการจัดทำปะการังเทียม ขยายพันธุ์สัตว์ทางทะเลให้มีจำนวนมากขึ้น สร้างข้อตกลงร่วมกันด้วยการห้ามจับสัตว์ทะเลที่ยังไม่ได้ขนาดหรือห้ามจับฤดูวางไข่ พร้อมปล่อยพันธุ์ปลาลงทะเลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าสำเร็จรูปที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดให้กับประชาชน ทำให้ทุกวันนี้ชุมชนชายฝั่งตันหยงเปาว์ กลับมามีความสมบูรณ์ ประชาชนมีอาชีพ เกิดความสุขเกิดความสมานฉันท์ได้อีกครั้ง
การนำเสนอตัวอย่างการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งด้วยตนเองที่วิทยาลัยชุมชนได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ดำเนินการจนสำเร็จครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ หากเทียบกับชุมชนที่มีอยู่ในประเทศ แต่ส่วนนี้ก็น่าจะสะท้อนให้ผู้คนในชาติได้หันกลับมาฉุกคิดได้บ้างว่า การที่มัวไปลุ่มหลงอยู่กับค่านิยมเห็นความร่ำรวยสำคัญที่สุดในชีวิต ทำให้เกิดการทิ้งครอบครัว ถิ่นฐานไปแก่งแย่งแข่งขัน เอารัดเอาเปรียบทำมาหากินในเมืองใหญ่ท่ามกลางปัญหาพิษภัยรอบด้าน ทำให้ชีวิตตนเอง ครอบครัวและสังคมดีขึ้นหรือไม่ หากเทียบกับวิถีชีวิตที่มีสัมมาอาชีพ บนพื้นฐานความพอเพียงในท้องถิ่น ที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าของคนในครอบครัวญาติมิตรนั้นอย่างไหนน่าจะมีคุณค่าและเกิดความสุขให้กับชีวิตที่แท้จริงกว่ากัน ค่านิยมที่ว่านี้คงไม่มีใครตัดสินใจแทนได้นอกจากคนในชาติเอง ส่วนภาครัฐ ถ้าหากไม่คิดจะทำอะไรเลยปล่อยให้ท้องถิ่นอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ จนค่านิยมคนในชาติผิดเพี้ยนไปถึงขนาดการคอร์รัปชั่นก็ยังเห็นดีเห็นงามไปด้วยขอเพียงให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วยเช่นนี้ จึงไม่อยากคาดเดาว่าวิถีชีวิตคนไทยและอนาคตประเทศชาติจะเป็นอย่างไร หากค่านิยมที่เห็นแก่ตัวยังเกาะติดแน่นอยู่ในจิตใจของคนในชาติอยู่เช่นนี้.
กลิ่น สระทองเนียม

โพลเผยคนหดหู่-เบื่อหน่าย พฤติกรรมนักเรียน-นักเลง


วันนี้ (25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม.เทคโนโลยีราชมงคลธีญบุรี เผยผลสำรวจ "พฤติกรรมของวัยรุ่นในสังคม ณ วันนี้ กรณี นักเรียน-นักเลง" ของประชาชนที่มีต่อพฤติกรรมวัยรุ่น ในกรณีนักเรียน-นักเลง เพื่อสะท้อนความคิดเห็น โดยเห็นว่า ร้อยละ 27.56 สร้างความเือดร้อนให้กับครอบครัวและคนรอบข้างจนสูญเสียทรัพย์สินและชีวิต ร้อยละ 19.64 ไม่พอใจ เบื่อน่ายกับการกระทำ  ร้อยละ 18.31 มีผลต่อภาพพจน์ของเยาวชน สถาบันศึกษาและสังคมไทยให้ดูแย่ลง   และร้อยละ 16.62 รู้สึกแย่ เสียใจ หดหู่ กับการกระทำนี้  ร้อยละ 36.16 ควรอบรมปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้    ร้อยละ 35.64  ควรเพิ่มบทลงโทษให้หลาบจำ   และร้อยละ 28.36  ควรแก้ปัญหาตั้งแต่ครอบครัว.

ชินภัทร พร้อมแก้ปัญหาเด็กบดินทร์


วันนี้(26ก.ย.) ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีตัวแทนผู้ปกครอง และนักเรียนชั้น ม.4 ภาคบ่าย ของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์ ) เดินทางมาขอพบ นายศักดา คงเพชร  รมช.ศึกษาธิการ  เรียกร้องขอความเป็นธรรมกรณีที่นักเรียนภาคบ่าย 36 คน ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม มีความลักหลั่นจากนักเรียนภาคปกติ และขอให้กระทรวงศึกษาธิการ สั่งการให้โรงเรียนรับนักเรียนทั้ง 36 คน เข้าเป็นนักเรียนภาคปกติ ว่า    เรื่องนี้ยืนยันว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ตั้งใจที่จะดูแลเด็กกลุ่มนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ไม่เคยตั้งข้อรังเกียจ  กีดกั้นหรือแบ่งแยกเด็ก   ถ้าเป็นได้ก็จะพยายามผ่อนปรนให้เด็กกลุ่มนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นนักเรียนภาคปกติ    โดยเฉพาะนโยบายรับนักเรียน ม.4 ปี 2556 มีการผ่อนปรนมากขึ้น  ดังนั้นเด็กกลุ่มนี้ก็น่าจะได้รับประโยชน์ด้วย อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติก็ต้องให้ขึ้นกับการบริหารจัดการของทางโรงเรียน  สพฐ.จะไปสั่งการให้โรงเรียนดำเนินการตามใจชอบไม่ได้ เพราะการรับนักเรียนเพิ่มเติมนั้น ต้องให้โรงเรียนประเมินความพร้อมด้านต่างๆก่อน เช่น  มีห้องเรียนหรือครูเพียงพอหรือไม่  เป็นต้น  ซึ่งระหว่างนี้ก็ได้ประสานกับโรงเรียนพยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในโรงเรียนจนตอนนี้ไม่มีการต่อต้านเด็กกลุ่มนี้แล้ว 
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า   ส่วนประเด็นที่โรงเรียนยังไม่ออกเลขประจำตัวให้นักเรียนนั้น ตนจะไปสั่งเจ้าหน้าที่ไปดูให้ว่า ติดขัดปัญหาตรงจุดไหน แต่เรื่องนี้ไม่ต้องคิดมาก  เป็นแค่ระบบปัญหาภายในของการทำงานใน สพฐ.เท่านั้นไม่มีผลกระทบต่อตัวเด็ก  เด็กทุกคนมีรายชื่ออยู่ในระบบของ สพฐ.แน่นอน   อย่างไรก็ตามตนไม่เข้าใจว่า เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ทำไมผู้ปกครองไม่ตรงมาหา สพฐ. ก่อน เพราะตนพร้อมรับฟังและแก้ปัญหาให้อยู่แล้ว  การออกมาประท้วงเช่นนี้ มันเหมือนคนคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงต้องหันไปใช้วิธียื่นหนังสือประท้วงต่อรัฐมนตรี  ทั้งที่ผ่านมา สพฐ.ได้พยายามดูแลเด็กกลุ่มนี้เป็นอย่างดี และก็ตั้งใจไว้แล้วจะผ่อนปรนให้เด็กกลุ่มนี้เข้าเป็นนักเรียนภาคปกติ.

“หมอกำจร” แจงปิดมอส.เพราะไม่มีคุณภาพ


วันนี้ (26 ก.ย.) รศ.นพ.กำจร  ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะคณะกรรมการควบคุมมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.) เปิดเผยภายหลังเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร กรณีการเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.) ว่า กมธ.การศึกษา ได้เชิญทั้งฝ่ายผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งมอส. ซึ่งถือเป็นผู้ร้อง และคณะกรรมการควบคุมมอส. เข้าให้รายละเอียดต่าง ๆ เพื่อความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยทางคณะกรรมการควบคุมฯ ได้ให้เหตุผลถึงการเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้ง ว่า เป็นเรื่องของการจัดการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ ยกตัวอย่างการจัดการเรียนการสอนนักศึกษาระดับปริญญาโท จำนวนมากถึงกว่า 4,000 คน ซึ่งหากจะจัดการศึกษาให้ได้คุณภาพจำเป็น จะต้องมีอาจารย์ระดับปริญญาเอกประมาณ 250 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณในการทำงาน แต่ฝ่ายผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งฯ ไม่เคยใส่เงินเข้ามาตามที่คณะกรรมการควบคุมฯ ร้องขอ ดังนั้นจึงทำให้การบริหารจัดการเกิดปัญหา ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษา ด้านผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งฯ ยืนยันต่อ กมธ.ว่าต้องการให้คืนอำนาจบริหารจัดการมอส. ซึ่งตนก็ชี้แจงว่า ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งมีสิทธิฟ้องศาลปกครองได้ ซึ่งศาลคงพิจารณาตามเหตุผล แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีกรณีการถอนคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งเกิดขึ้น
“กมธ.การศึกษา ยังถามคณะกรรมการควบคุมฯ ด้วยว่า ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งยังสามารถกลับมาเปิดมหาวิทยาลัยใหม่ได้อีกหรือไม่  ผมได้ชี้แจงไปว่า สามารถทำได้ แต่ต้องเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย เพราะคงไม่สามารถขออนุญาตจัดตั้งในชื่อเดิมได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องปรับปรุงเรื่องการบริหารจัดการ และเน้นจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา” รศ.นพ.กำจรกล่าวและว่า ภายหลังคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตจัดตั้งฯ มีผลตามกฎหมาย ในวันที่ 31 ต.ค.นี้ ทางคณะกรรมการควบคุมมอส. จะเร่งเคลียร์บัญชี และคืนทรัพย์สินคงเหลือให้ผู้รับใบอนุญาตโดยเร็ว..
 

"เดลินิวส์"จับมือ"กฟผ."นำหน่วยแพทย์ตรวจสุขภาพชาวลำปาง














มูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล นสพ.เดลินิวส์ ออกหน่วยแพทย์ ที่โรงเรียนบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ จ.ลำปาง ตรวจรักษาโรคทั่วไปและโรคนิ้วล็อก
วันนี้ (20 ก.ย.) นายสมยศ ธีระวงศ์สกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานเปิดโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โดยมูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล นสพ.เดลินิวส์ คณะแพทย์นักศึกษา วปอ.รุ่นที่ 27 และภริยา ร่วมกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ กฟผ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปเปิดให้การตรวจรักษาโรคทั่วไป และโรคนิ้วล็อก ที่โรงเรียนบ้านใหม่รัตนโกสินทร์ ต.นาสัก อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง
โดย นางสายลดา สิทธิวงศ์ ผจก.ฝ่ายบริการโรงไฟฟ้าแม่เมาะ กล่าวรายงาน จากนั้น นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผวจ.ลำปาง กล่าวขอบคุณแทนชาวจังหวัดลำปางที่มูลนิธิแสง-ไซ้กีฯ นสพ.เดลินิวส์ เห็นความสำคัญของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล จึงได้นำคณะแพทย์มาลงพื้นที่นี้ เพื่อให้การดูแลด้านสุขภาพ และอยากฝากให้คณะแพทย์ช่วยดูเรื่องสิ่งแวดล้อมว่าในพื้นที่มีสภาพแวดล้อมอย่างไร
คณะแพทย์ประกอบด้วย นพ.ประมุข จันทวิมล ศ.นพ.วิเชียร ทองแตง ศ.นพ.มนูญ ไพบูลย์ นพ.ทวี ลิมปะวัชระ พญ.ฉวี สิงหวิสัย พญ.รุจา เสวิกุล ตรวจรักษาโรคทั่วไปและโรคเด็ก นพ.วิชัย วิจิตรพรกุล จาก รพ.เลิดสิน ให้การตรวจรักษาโรคนิ้วล็อกโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ในวันนี้มีชาว อ.แม่เมาะ และใกล้เคียงมารับการตรวจทั้งสิ้น 500 คน
นางประพีร์ ปุ้ยพันธวงศ์ ประธานประธานมูลนิธิแสง-ไซ้กีฯ กล่าวว่า คณะแพทย์ชุดนี้ได้ออกให้การตรวจรักษาชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกลติดต่อกันมาเป็นเวลา 24 ปีแล้ว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการส่งเจ้าหน้าที่และบุคลากรเข้ามาผนึกกำลังออกสร้างกุศลด้วยกันตลอดมา
สำหรับในวันที่ 21 ก.ย. มูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล จะร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลชั้นนำจากกรุงเทพฯ นำคณะแพทย์เฉพาะทางคณะใหญ่ เดินทางไปเปิดให้การตรวจรักษาประชาชน ที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์26 ต.น้ำดิบ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน จะมีแพทย์เฉพาะทางจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ส่งแพทย์เข้าร่วมคณะถึงเกือบร้อยท่าน ประกอบด้วยแพทย์ส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร อัลตร้าซาวน์ตับ-ม้าม จักษุแพทย์ทั้งตรวจทั่วไปและต้อกระจก รวมทั้งยังตรวจสายตาและทำแว่นตาแจกให้ฟรีจากโครงการแว่นแก้ว  ตรวจภายในสตรี แพทย์ผิวหนัง โรคข้อ-กระดูก และตรวจรักษาโรคนิ้วล็อกจึงขอเชิญชวนชาวลำพูนและใกล้เคียง มารับการตรวจรักษาได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย.

อย. เตือน อย่าซื้อ-ใช้ เครื่องสำอางเสี่ยงหน้าพัง 34 รายการ
















อย. เตือนผู้บริโภค อย่าซื้อ อย่าใช้ เครื่องสำอางอันตราย 34 รายการอย่างเด็ดขาด เสี่ยง! หน้าพัง ย้ำ หากพบผู้ฝ่าฝืนผลิต นำเข้า หรือขาย เจอโทษทั้งจำทั้งปรับ พร้อมแนะ ก่อนซื้อควรอ่านฉลากให้ถ้วนถี่
วันนี้ ( 21 ก.ย.) นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีข่าวสาวขอนแก่น หวิดเสียโฉม เพราะใช้เครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง เกิดอาการแสบคัน และมีผื่นขึ้นเต็มหน้า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประสานกับกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น พบว่าเป็นเครื่องสำอางยี่ห้อ “3 ทรีเดย์ ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน โลชั่นป้องกันแสงแดด” ซึ่งมีส่วนผสมของสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ได้แก่ สารไฮโดรควิโนน ซึ่งก่อให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ทำให้ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวรรักษาไม่หาย ทั้งนี้ เครื่องสำอางดังกล่าวเป็น 1 ในเครื่องสำอาง 34 รายการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประกาศเป็นเครื่องสำอางที่ห้ามผลิต นำเข้าหรือขาย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
หากผู้ใดฝ่าฝืนผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสำอางที่มีสารห้ามใช้ได้ทาง www.fda.moph.go.th เลือกเกี่ยวกับเรา เลือกหน่วยงานภายใน เลือกกลุ่มควบคุมเครื่องสำอาง แล้วพิมพ์ชื่อเครื่องสำอางที่สงสัยในช่องที่ระบุว่าค้นหา ซึ่งหากเป็นเครื่องสำอางที่เคยประกาศผลวิเคราะห์ว่าพบสารห้ามใช้จะปรากฏรายละเอียดให้เห็น
 
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสถานที่จำหน่ายที่มีหลักแหล่งน่าเชื่อถือ และก่อนตัดสินใจซื้อควรสังเกตฉลากผลิตภัณฑ์ โดยฉลากต้องมีข้อความภาษาไทย ระบุข้อความอันจำเป็นครบถ้วน ได้แก่ ชื่อและชนิดของเครื่องสำอาง เลขที่ใบรับแจ้ง(เป็นเลข 10 หลัก) สารที่ใช้เป็นส่วนผสม วิธีการใช้ ชื่อที่ตั้งผู้ผลิต/ผู้นำเข้า ปริมาณสุทธิ เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต และคำเตือน(ถ้ามี)
โดยเครื่องสำอางที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย ได้แก่
 
(1) BEANNE บีแอน ครีมไข่มุกตราแตร
(2) แอนตี้-ฟาร์ ครีม
(3) แอนตี้-ฟาร์ โลชั่นกันฝ้า ปรับผิว
(4) ROSE  ครีมขจัดฝ้า
(5) FAR-ACT ครีมรักษาฝ้า
(6) CN คลินิก 99
(7) ครีมฝ้าเมลาแคร์
(8) โลชั่นกันแดด กันฝ้า เมลาแคร์
(9) ครีมวินเซิร์ฟ
(10) โลชั่นวินเซิร์ฟ
(11) MUI LEE HIANG PEARL CREAM ลดฝ้ากันแดด
(12) เอสจี  โลชั่นปรับสภาพผิว
(13) เลนาว ครีมบำรุงผิวหน้ากลางคืน
(14) NEW  CARE  นิวแคร์  ครีมประทินผิว
(15) NEW  CARE  นิวแคร์  โลชั่นปรับสภาพผิว
(16) 3 ทรีเดย์ ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน  ครีมลดริ้วรอยหมองคล้ำ
(17) 3 ทรีเดย์ ไบรเทน แอนด์ รีไวเทน โลชั่นป้องกันแสงแดด
(18) 3 ทรีเดย์ เนเชอรัล ครีมทาสิว (19) 3 ทรีเดย์ เนเชอรัล  โลชั่นป้องกันแสงแดด
(20) พรีม  ไบรเทน  แอนด์  รีไวเทน  ครีมลดริ้วรอย
(21) พรีม  ไบรเทน  แอนด์ รีไวเทน  โลชั่นป้องกันแสงแดด
(22) มิสเดย์ ครีมแก้สิว
(23) มิสเดย์ ครีมแก้ฝ้า
(24) พอลล่า ครีมทาสิว
(25) พอลล่า ครีมทาฝ้า
(26) พอลล่า โลชั่นกันแดดรักษาฝ้า
(27) ครีมชาเขียว DR. JAPAN
(28) ครีมชาเขียว MISS JAPAN
(29) ชิชาเดะ ครีมหน้าขาว โสมผสมไข่มุกญี่ปุ่น
(30) ครีมบัวหิมะ หลิง หลิง
(31)ครีม QIAN MEI
(32) ครีม QIAN LI
(33) ครีม CAI NI YA
(34) ครีม JIAO LING

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design Downloaded from Free Blogger Templates Download | free website templates downloads | Vector Graphics | Web Design Resources Download.